พลันที่สัมผัสกับท่าทีล่าสุดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายฝ่ายก็รับรู้ในการตัดสินใจอันเฉียบขาดในทางการเมือง

เท่ากับยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เพียงแต่จะยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเป็นจริง

หากยังแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์อันเคยมีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ระหว่างที่ร่วมอยู่ใน”ศอฉ.”ไม่เหลืออยู่แล้ว

นั่นก็คือ ตัดเยื่อใยจากสถานการณ์เมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ออกไป

เป็นเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเดินไปข้างหน้า

ถามว่าการตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ปฏิเสธคสช.และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้มีเหตุปัจจัยมาจากอะไร

คำตอบ 1 อาจเป็นหลักการ”ประชาธิปไตย”

นั่นก็คือ ประชาธิปไตยสุจริต และ”เสรี”ประชาธิปไตยอันเป็น หลักการโดยพื้นฐานของพรรคประชาธิปัตย์

คำตอบ 1 อาจเป็นเพราะความล้มเหลวที่ปรากฏอย่างเด่นชัดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้น

โดยเฉพาะความล้มเหลวในทางเศรษฐกิจที่มีแต่ปัญหา

คำตอบ 1 เพราะคะแนนนิยมที่ตกต่ำของคสช.

ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะมองผ่านพรรคพลังประชารัฐ หรือแม้กระทั่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยและพรรคประชาชนปฏิรูป

กระแสต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ขับเคลื่อนได้ขึ้นสู่กระแสสูงจนอาจกลายเป็นกระแสหลักในทางสังคม

จำเป็นที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จักต้องตัดสินใจ

การตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงสะท้อนการผละออกมาจากคสช.ออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อดำรงสถานะแห่งการเป็นตัวเลือก

นั่นก็คือ เสนอให้เลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เสนอให้เปลี่ยนมาชู นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน