การจัดเวทีปราศรัยใหญ่ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ณ สวนเบญจสิริ ริมถนนสุขุมวิท เมื่อวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม ชี้อนาคตทั้ง ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ที่มีหลายคนสรุปว่า นี่คือความพยายามฟื้น”มวลมหาประชาชน” ขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามอยู่ที่นั่น
บรรยากาศของการชุมนุมในด้านหนึ่งจึงเป็นการนำเอาภาพอันรุ่งเรืองในห้วงแห่งการชัตดาวน์กทม. ชัตดาวน์การเลือกตั้งมาตอกย้ำ
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งจึงเป็นการลำเลิกบุญคุณและความ แค้นในทางการเมือง
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ปริมาณของ”มวลมหาประชาชน”
จากที่เคยมี”มวลมหาประชาชน”เรือนล้าน กลายเป็น”มวลมหาประชาชน”เรือนพัน
นี่ย่อมเป็นสภาพอย่างเดียวกับ”พันธมิตร”
ไม่ว่าก่อนหรือหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 พันธ มิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สามารถระดมมวลชนเข้าร่วมโดยพื้นฐานเป็น”เรือนหมื่น”และทะยานไปสู่”เรือนแสน”
สามารถยึด “ทำเนียบรัฐบาล” สามารถยึด”สนามบิน”ไม่ว่าที่ ดอนเมือง ไม่ว่าที่สุวรรณภูมิ
แต่ภายหลังสถานการณ์ยุบพรรคพลังประชาชน ภายหลัง สถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2551
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในกรณี เขาพระวิหารก็มีมวลชนเข้าร่วม “เรือนพัน”
เหมือนที่สัมผัสได้จากสวนเบญจสิริ ริมถนนสุขุมวิท
ชะตากรรมของ “กปปส.”จึงดำเนินไปเหมือนกับชะตากรรมของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยกระดับอีกขั้นหนึ่งด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ เช่นเดียวกับ กปปส.ที่จัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ถามว่าในที่สุดเส้นทางของพรรคการเมืองใหม่เป็นอย่างไร
คนที่ตอบได้ดีที่สุดมิใช่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หากเป็น นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กับ นายสุริยะใส กตะศิลา
คำตอบนี้จะเห็นได้จากกรณีพรรครวมพลังประชาชาติไทย