คำขู่เรื่อง”รัฐประหาร”อันก้องกังวานจากบางส่วนในพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ก่อให้เกิดความแคลงคลางกังขาทางการเมืองไม่ ได้ออกมาจากความหวาดกลัว หากแต่ยังเข้าใจ

โดยเฉพาะตรงประโยค “ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยกงเต๊กชนะเลือกตั้งที่สุดก็จะมีปฏิวัติอีกรอบ”

เหมือนกับเป็นความในใจของพรรครวมพลังประชาชาติ

กระนั้น ความในใจนี้ก็เป็นการแปลงรหัสจากการชุมนุมที่สวนเบญจสิริ และเป็นการทำคำอธิบายจากการเคลื่อนไหวและการปราศรัยของหลายคนพรรครวมพลังประชาชาติไทย

ยิ่งกว่านั้นไม่เพียงแต่สะท้อนความหวาดกลัวต่อความพ่าย แพ้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทยเพียงพรรคเดียว

หากแต่ยังสะท้อนความหวาดกลัวจะแพ้ทั้งกระบวนแถว

ความรู้สึกของบางส่วนจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยจึงมิได้มี ลักษณะอันเป็นตัวแทนของ”ลุงๆป้าๆ”แห่งพรรครวมพลังประชาติไทยเท่านั้น

หากยังเป็นตัวแทนของ”ลุงๆป้าๆ”ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวที่เรียก ตนเองว่ามวลมหาประชาชนกปปส.

และรวมถึง”ลุงๆป้าๆ”อันเป็นส่วนหนึ่งของ”คสช.”

ความหมายจึงมิได้อยู่ที่ความพ่ายแพ้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย หากแต่ยังน่าจะเป็นความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาชนปฏิรูป

อันเท่ากับเป็นการดับความฝันที่จะสืบทอดอำนาจผ่านการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นี่ย่อมกับเป็นความเจ็บปวด รวดร้าวอย่างลึกซึ้ง

การที่คำว่า ปฏิวัติ รัฐประหาร ได้พร่างพรายและสำแดงออกผ่านความเห็นจึงถือว่าเป็นทางออกหนึ่งเพื่อพลิกจากความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะ

เหมือนที่ได้ชัยชนะมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ตัดฉากจากการสำแดงออกผ่านคนของพรรครวมพลังประชาชาติ ไทยไปยังการเสวนา”เลือกตั้งประเทศไทย เดินหน้าหรือถอยหลัง”ที่ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศหรือ FCCT

ไม่ว่า คริส เบเกอร์ ไม่ว่า พอล แชมเบอร์ วิตกตรงกัน

วิตกว่าความพ่ายแพ้การเลือกตั้งอาจนำไปสู่สถานการณ์ปั่น ป่วนเหมือนที่เคยเกิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

มิได้เป็นคำขู่ หากแต่เป็นคำเตือนด้วยความห่วงใย

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน