มีความพยายามจะแยก “เศรษฐกิจ” ออกจาก “การเมือง” มีความพยายามจะชี้ว่า มีแต่การนำเสนอในเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเท่านั้นที่ถือว่าเป็น “นโยบาย”
เห็นได้จากการโต้แย้งระหว่างพรรคการเมืองในการดีเบตประชันวิสัยทัศน์
ตำหนิว่า อีกฝ่ายไม่เสนอ”นโยบาย” มีแต่ “โจมตี”
ตัวอย่างที่ตำหนิว่าไม่เสนอ”นโยบาย”เพราะมองว่าไม่นำเอา โครงการมาพูด หากมีแต่โจมตีการเมือง เน้นแต่เรื่องเผด็จการ เน้นแต่เรื่องประชาธิปไตย
กลายเป็นว่าหากพูดเรื่อง”การเมือง” มิใช่การนำเสนอ”นโยบาย”
ทั้งๆที่ การเมืองและเศรษฐกิจเป็นเรื่องเดียวกัน
ความเป็นจริงที่เห็นและเป็นอยู่พลันที่มีการเสนอปรับอัตราค่าแรง ขั้นต่ำซึ่งแม้จะถือว่าเป็นเรื่องในทางเศรษฐกิจ แต่ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้ปรับเป็น 300 บาทในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้ปรับเป็น 400 หรือ 425 บาท
การช่วงชิงข่มกันด้วย “ตัวเลข” ระหว่างแต่ละพรรคการเมืองนั่นแหละทำให้ข้อเสนอในทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ได้แปร เป็นประเด็นทางการเมืองโดยพลัน
เพราะว่าในความเป็นจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการเมือง
การดำรงอยู่ของการเมือง เศรษฐกิจจึงเหมือนเหรียญเดียวกัน หากเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่ไม่ดีก็ย่อมจะก่อให้เกิด ความหงุดหงิดไม่พอใจ
เมื่อหงุดหงิดไม่พอใจก็จะนำไปสู่การวิพากษ์ตำหนิ นำไปสู่การเรียกร้องในที่สุดก็กลายเป็นปัญหาในทางการเมือง
ความพยายามในการแยกเศรษฐกิจออกจากการเมือง ความพยายามในการเสนอบทนิยามให้เศรษฐกิจเป็นนโยบาย แต่การเมืองมิใช่นโยบาย
เหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองและบทสรุปอันต่างกัน
นั่นก็คือ การพิจารณาปัญหาอย่างแยกส่วน ตัดตอนและมอง ไม่เห็นความสัมพันธ์
ทั้งที่เป็นเหรียญเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละด้านเท่านั้น