สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่นำเอาพรรคที่มีคะแนน 30,000 ก็จะได้ ส.ส. 1 คน กำลังกลายเป็นปัญหาและอาจจะกลายเป็นอีก ประเด็น 1 ที่ร้อนแรงในทางการเมือง
ยิ่งเมื่อได้รับการอธิบายจาก นายวิษณุ เครืองาม
“ถามว่าแค่ 30,000 ทำไมจึงได้ 1 ส.ส. เพราะการนับคะแนนมีการเฉลี่ยหลายรอบ 1, 2, 3 นั้นพรรคอื่นได้ไปหมดแล้ว แต่เหลือเศษจึงเฉลี่ยให้พรรคเล็กๆ”
โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “เป็นไปตามกฎกติกาที่มีมาตั้งแต่ต้น ไม่มีใครไปกลั่นแกล้ง”
คำถามที่ตามมาไม่ว่าจะมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือ นายโภคิน พลกุล และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็คือ
เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
บรรทัดฐานการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นเป็นบรรทัดฐานจาก 1 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และ 1 พรป.ว่าด้วยการเลือก ตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561
ไม่ว่า นายโภคิน พลกุล ไม่ว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เห็น ตรงกันว่า
ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91(4)
ต้องยึดตามพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128(5)
โดยถือเกณฑ์คะแนนเสียง ส.ส.พึงมีอยู่ที่ 70,000 คะแนนเป็นบรรทัดฐาน
คิดแล้วมีเพียง 16 พรรคการเมืองเท่านั้น
“แม้จะซับซ้อนแต่นี่คือการคำนวณตามกฎหมาย ยืนยันไม่มี การคำนวณแบบอื่น วิธีนี้ไม่ใช่ความเห็นแต่เป็นคณิตศาสตร์ซึ่งมีสูตรเดียวเท่านั้นตามมาตรา 128”
เป็นคำยืนยันจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ห่วงว่า “เรื่องนี้สำคัญมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 ข้างที่ชิงกันอยู่”
สูตร 30,000 ได้ ส.ส.พึงมีจึงมากด้วยความแหลมคม
ความแหลมคมมิได้อยู่ที่ว่าสูตรนี้จะเป็นการดำเนินการตามหลักรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติของพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.หรือไม่ ประการเดียว หากแต่อยู่ที่ว่าเหตุใด”สูตร” นี้จึงงอกขึ้นมา
งอกขึ้นมาเหมือนกับจะแสดงน้ำใจไมตรีให้กับทุกพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเล็กที่หล่นจากอันดับที่ 16
เป้าหมายของ”กกต.”คืออะไร