FootNote : บทเรียน ของ การเมืองใหม่ กับ รวมพลังประชาชาติไทย
การออกมายอมรับความเป็นจริงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า “ตั้งแต่ทำงานการเมืองมา คราวนี้เรียกว่าแพ้ยับเยินมาก”
เหมือนกับจะเป็นบทสรุปเฉพาะตัว
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ความพ่ายแพ้ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ คือความพ่ายแพ้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
เพราะได้ ส.ส.มาทั้ง 2 ระบบเพียง 5
เพราะว่าสังคมรับรู้กันตั้งแต่แรกมีการจัดตั้งแล้วว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย คือพรรคของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มิใช่ของ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล
ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย คือชัยชนะหรือพ่ายแพ้ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นี่คือบทเรียนอันมีค่ายิ่งในทางการเมือง
บทเรียนนี้มิได้เป็นขอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น
หากแต่ยังเป็นบทเรียนของนักการเมือง เป็นบทเรียนของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คิดจะต่อยอดผลสำเร็จทางการเมือง
เหมือนกับที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อยอดจากการเคลื่อนไหวก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
มาเป็น”พรรคการเมืองใหม่”
ขณะที่ กปปส.ต่อยอด “มวลมหาประชาชน”ที่สร้างปรากฏการณ์ใหญ่หลวงก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
มาเป็น”พรรครวมพลังประชาชาติไทย”
เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่ามวลชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มิได้เป็นพื้นฐานให้กับพรรคการเมืองใหม่
เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่ามวลชนของ กปปส.หรือที่เรียกว่ามวลมหาประชาชน มิได้เป็นเอกภาพให้กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ชะตากรรมของพรรคการเมืองใหม่เป็นอย่างไร ชะตากรรมของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็เป็นอย่างนั้น
จะทำความเข้าใจต่อลักษณะไหลเลื่อนแปรเปลี่ยนของมวลชน ต้องศึกษาจากกรณีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกรณีของ กปปส.
นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลชนกับพรรค
การเข้าร่วมการชุมนุมเป็นเงื่อนไขหนึ่ง สภาพการณ์หนึ่ง มิได้หมายความว่าจะลงคะแนนเสียงให้ในการเลือกตั้ง
บทเรียนนี้สำคัญต่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ