จากทักษิณถึงธนาธร

ใบตองแห้ง

มวลชนเสื้อแดงอ้าแขนต้อนรับ “ฟ้ารักพ่อ” เห็นไหม เลือกเพื่อไทยหรืออนาคตใหม่สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน ใครว่าเลือกธนาธรเป็นความหวัง เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เคยโดนข้อหาสารพันอย่างทักษิณ แต่พอประกาศลบล้างผลพวงรัฐประหาร ปฏิรูปกองทัพ แก้รัฐธรรมนูญ รื้อโครงสร้างอำนาจ ฯลฯ

เสื้อแดงเดิมพันร้อยบาท ขี้หมาไม่เอา มาตั้งนานแล้วละว่า ชะตากรรมธนาธรจะไม่ต่างจากทักษิณ

จริงหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ก็เป็นความเชื่อ ที่ไม่ควรลบหลู่ เพราะกลั่นจากประสบการณ์วิกฤต 13 ปี

พูดอย่างนี้ไม่ใช่ทึกทักว่า กกต.จะจัดการเช็กบิล แจกใบส้มหัวหน้าพรรคสีส้ม แหงแก๋แน่นอน แต่นั่นเป็นความเชื่อของคนจำนวนหนึ่ง จำนวนไม่น้อยเลย ซึ่ง กกต.มีความรับผิดชอบ ที่จะต้องชี้แจงแสดงเหตุผล ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าไม่มีการตั้งธง ไม่มีเจตจำนงแอบแฝง ไม่ว่าตัดสินไปทางใด กกต.ก็ใช้อำนาจอย่างเที่ยงตรงเป็นธรรม

กระนั้น พูดกันตรงๆ กรณีนี้ กกต.ตัดสินใจทางไหนก็ลำบาก เพราะในเบื้องต้น ตัวบทกฎหมายคือรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) เป็นปัญหา จะตีความตามเจตนารมณ์หรือเคร่งครัดตามตัวอักษร ข้อห้ามถือหุ้นสื่อ มีเจตนารมณ์ไม่ให้ผู้สมัครใช้สื่อเอาเปรียบผู้อื่น ถามว่าธนาธรถือหุ้นวีลัค นิตยสารที่ปิดไปแล้ว มีผลต่อการเลือกตั้งอย่างไร ไม่เกี่ยวเลย ธนาธรใช้สื่อของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ต่างหาก

ฉะนั้น หากบอกว่าถือหุ้นวีลัคผิด ก็ขัดความรู้สึก ขัดเจตจำนง ของคนเลือกพรรคอนาคตใหม่ 6.2 ล้านคน ที่เขาไม่ได้เลือกเพราะหุ้นวีลัค ไม่เคยรู้จักว่านิตยสารอะไรด้วยซ้ำ

ขณะที่ตรงกันข้าม ประชาชนกลับเห็นแคนดิเดตนายกฯ ของบางพรรค ใช้สื่อรัฐ ใช้งบรัฐ หน้าตาเฉย โดย กกต.ไม่มีอำนาจห้าม

ปัญหาการตีความกฎหมายช่างบังเอิญคล้ายกับคดีที่ดินรัชดา ทักษิณเซ็นชื่อยินยอมให้ภริยาซื้อที่ดินกองทุนฟื้นฟู ไม่มีความผิดฐานทุจริต เพราะเป็นการประมูลขายทอดตลาด ได้สูงกว่าราคากลาง ไม่พบว่าทักษิณเข้าไปก้าวก่ายแบงก์ชาติ ซึ่งตอนนั้น หม่อมอุ๋ยเป็นผู้ว่าฯ แต่ศาลมีมติ 5-4 จำคุก 2 ปี ฐานฝ่าฝืนข้อห้าม มาตรา 100 กฎหมาย ป.ป.ช. ห้ามเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐในกำกับดูแล

การจะชี้ว่าธนาธรผิดฐาน “ถือหุ้นสื่อ” นอกจากทำให้ 6.2 ล้านคน 16.5 ล้านคนที่เลือก 7 พรรคไม่ยอมรับ เพราะเป็นความผิดตามตัวอักษร ที่ความเป็นจริงไม่ได้ทำอะไรผิด ในทางกฎหมายก็ยังมีข้อโต้แย้ง เพราะธนาธรยืนยันว่าโอนหุ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง โดยทำเป็นหนังสือ มีพยานลงนาม ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ ถือว่าการโอนหุ้นสำเร็จแล้ว ไม่ใช่นับตอนที่แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คล้ายกับคดีภริยาดอน ปรมัตถ์วินัย ที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าไม่ผิด

แน่ละ มีผู้ตั้งแง่ว่าธนาธรโอนหุ้นย้อนหลัง มีข้อถกเถียงต่างๆ แต่ทั้งหมดนี้ควรผ่านกระบวนการไต่สวนในศาล ไม่ใช่แจ้ง ข้อกล่าวหาให้ชี้แจงใน 7 วันแล้ว กกต.ตัดสินเอง

นี่เกี่ยวพันไปถึงประเด็นสำคัญว่า กกต.มีอำนาจ “แจกใบส้ม” ธนาธรหรือไม่ เพราะใบส้มเช่นที่แจกผู้สมัครเพื่อไทย เป็นกรณี “เชื่อได้ว่า” ทุจริต ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติ ซึ่งบัญญัติไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 52,53,54 สำหรับผู้สมัคร ส.ส.เขต มาตรา 61 สำหรับผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต มาตรา 52 ก่อนวันเลือกตั้ง ให้ยื่นศาลฎีกาตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ มาตรา 53 หลังวันเลือกตั้งก่อนประกาศผล ให้ กกต.วินิจฉัยเอง แต่หากประกาศผลเป็น ส.ส.แล้ว มาตรา 54 ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ เขียนไว้เพียงมาตรา 61 ก่อนวันเลือกตั้งให้ส่งศาลฎีกา

เจตนารมณ์ของกฎหมายชัดเจนว่า เรื่องคุณสมบัติให้ศาลตัดสิน เพียงให้อำนาจ กกต.ช่วงสั้นๆ กรณีที่เป็น ส.ส.เขตและจำเป็นต้องสั่งเลือกตั้งใหม่

ในทางปฏิบัติก็มองกันง่ายๆ กกต.ให้ธนาธรชี้แจงภายใน 30 เม.ย. หาก กกต.รวบรัดตัดสิทธิภายใน 2-3 วัน ทั้งที่อีกไม่กี่วัน 9 พ.ค.ประกาศผลเลือกตั้ง สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้ สังคมก็จะรุมตั้งคำถาม กกต.มีเจตนาอย่างไร ทำไมไม่รอส่งศาลกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง

การเลือกตั้งแทนที่จะเป็นความหวังกลับสู่ประชาธิปไตย กลับกลายเป็นเกมโกงอำนาจ ตั้งแต่อ้างกติกา 250 ส.ว.แต่งตั้ง ฝั่งหนึ่งมีไม่ถึง 376 ส.ส.เป็นนายกฯไม่ได้ มีความพยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ หวังให้ตัดสิทธิฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ยุให้ยุบพรรค ยุให้แจกใบเหลืองใบส้ม ยุให้ใช้สูตรคณิตคิดพิกล โดยหวังผลตั้งรัฐบาล มุ่งทำลายเจตจำนงประชาชน 16.5 ล้านเสียง ทั้งที่ฝ่ายตัวใช้อำนาจเอาเปรียบ ไม่ยักกลัวถูกตรวจสอบทุจริตคดโกงซื้อเสียง

กกต.น่าจะทราบดีว่าพวกท่านอยู่ตรงไหน และควรใช้ อำนาจอย่างไร ไม่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เลวร้ายยิ่งกว่า 13 ปีที่ผ่านมา

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน