นอกจากตั้งรัฐบาล : บทบรรณาธิการ
นอกจากตั้งรัฐบาล – ที่จะติดตามมาโดยทันควันทันทีภายหลังจากการเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เสร็จสิ้นลง ก็คือการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะจากฝั่งพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชารัฐ
เพราะในสถานการณ์ที่ไม่มีฝ่ายใดได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร พรรคที่มีคะแนนเสียงระดับ “ตัวแปร” อย่างประชาธิปัตย์จึงมีความสำคัญยิ่ง
การตัดสินใจว่าจะเลือกฝ่ายไหน ด้วยเหตุผลใด อาจจะเป็นการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์เอง แต่ก็เป็นภาระที่จะต้องอธิบายให้สังคมโดยรวมไปจนกระทั่งถึงผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้
ได้เข้าใจว่าเหตุใดจึงเลือกตัดสินใจเช่นนั้น
เพราะการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้มีนัยยะสำคัญต่อการพัฒนาทางการเมืองของไทยในอนาคต
เนื่องจากหากเลือกฝ่ายหนึ่ง ก็เท่ากับสนับสนุนให้กองทัพและระบบราชการยังเข้ามา มีบทบาทในการกำหนดทิศทางและแทรกแซงการเมืองอยู่ต่อไป
ในขณะที่หากเลือกเข้าร่วมกับอีกฝ่ายหนึ่ง จะเท่ากับเป็นการปลดแอกของประชาชนออกจากการรวมศูนย์ของระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกองทัพ
การตัดสินใจว่าจะเลือกข้างไหนของพรรคประชาธิปัตย์ จึงมิได้หมายถึงเพียงอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เอง
แต่ยังหมายถึงอนาคตของสังคมและการเมืองไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
แต่ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคการเมืองอื่นๆ จะเลือกยืนอยู่ฝั่งไหน ภารกิจประการหนึ่งที่พรรคการเมืองทั้งหมดจะต้องดำเนินการโดยฉับพลันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ก็คือการยกร่างหรืออย่างน้อยก็จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้กลับมาสะท้อนหลักการประชาธิปไตย และเป็นธรรมกับทุกคนทุกฝ่ายอย่างทั่วถึง มิใช่อิงแอบอยู่กับระบบอำนาจนิยม และเอื้อประโยชน์ให้กับคนส่วนน้อยเช่นนี้
นอกจากนั้นแล้วยังจะต้องทบทวนแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และกฎหมายอื่นๆ ที่มิได้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้กลับมาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สมควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้แทนราษฎร