โจทย์ตั้งรัฐบาล : บทบรรณาธิการ

โจทย์ตั้งรัฐบาล : บทบรรณาธิการ – การทบทวนประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ในเดือนมิถุนายนของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นไปตามความหมายของผู้คนทั้งในภาคเศรษฐกิจและประชาชนทั่วไป

เนื่องจากสงครามการค้าของชาติมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา-จีน แสดงอาการปั่นป่วนต่อโลกหนักกว่าที่ประเมินไว้เดิม

แม้สหรัฐเลื่อนศึกการค้าใหม่กับชาติพันธมิตรของตนเอง ทั้งญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ด้วยการชะลอมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้ารถยนต์ออกไปอีก 6 เดือน ก็เพียงแค่บรรเทาความตึงเครียดที่จะเพิ่มขึ้นมาใหม่เท่านั้น

สภาพการณ์เดิมยังทำให้ไทยวิตกถึงโจทย์เดิม เรื่องการส่งออกไปจีน พร้อมกับข้อวิตกที่เพิ่มเข้ามา

สิ่งที่แน่ชัดคือ ตัวเลขจีดีพี การขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 3.8 และการส่งออกที่จะเติบโตร้อยละ 3 ต้องลดทอนลงอย่างแน่นอน

อีกทั้ง ธปท.ยังประเมินว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทจะยังมีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่เอกชนสะท้อนความกังวลผ่านสภาหอการค้าไทย นอกเหนือเรื่องสงคราม การค้า เพราะเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าคู่แข่ง จะทำให้เสียเปรียบทางการค้าหนักขึ้นไปอีก

การปรับรับมือในเรื่องนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นไทยอาจถูกเพ่งเล็งเข้าข่ายเป็นประเทศ ที่เข้าแทรกแซงค่าเงินเพื่อหวังผลทางการค้า

หลังจากติดอยู่ในกลุ่มที่สหรัฐจับตาและเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐอยู่

สิ่งที่ภาคเอกชนคาดหวังให้รัฐบาลช่วยขณะนี้อยู่ที่การรับมือที่ฉับไว เร่งทำความเข้าใจกับทั้งฝ่ายสหรัฐและกับจีน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่คาดการณ์ไว้

โจทย์ยากทางเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็น บทพิสูจน์ความสามารถของรัฐบาลชุดใหม่อย่างยิ่ง ถึงขนาดมีคำพูดติดตลกว่า ไม่มีพรรคใดอยากแย่งชิงการกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้

ประเด็นนี้จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน

หากฝ่ายใดรู้ตัวว่า ไม่มีฝีมือและศักยภาพที่จะดึงพลังของประชาชนร่วมฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ได้ หรือไม่เก่งพอที่จะพลิกสถานการณ์เศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้

ไม่ควรแย่งชิงการทำหน้าที่ฝ่ายบริหารที่อาจสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน