การจับมือระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน โดยมี นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ร่วมอยู่ในโต๊ะอาหาร ได้รับคำยืนยันจากเฟซบุ๊กของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า

“ทำงานกันอยู่นะครับ ไม่ได้มากินกันเฉยๆ ตามที่ได้พูดไว้ทุกอย่าง”

เป็นการยืนยันว่ามิได้เป็นเรื่องส่วนตัว

ตรงกันข้าม นี่คือการทำงานร่วมระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

ความหมายที่ลึกยิ่งกว่านั้นคือการประสานระหว่าง 52 ของพรรคประชาธิปัตย์กับ 51 ของพรรคภูมิใจไทย

กลายเป็นพลัง 103 เสียงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

หากเทียบกับที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่ 136 เสียง น้อยกว่าอย่างแน่นอน ยิ่งหากเทียบกับการผนึกพลัง 7 พรรคที่มีพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตรวบรวมได้ 245 เสียงก็น้อยกว่าอย่างแน่นอน

หรือกระทั่งไปเทียบกับ 115 เสียงของพรรคพลังประชารัฐก็ยังน้อยกว่าในทางเป็นจริง

กระนั้น บทบาทและความหมายของ 103 เสียง ก็คืออยู่ระหว่าง 245 เสียงที่ประกาศไม่เอากับพรรคพลังประชารัฐ กับที่พรรคพลังประชารัฐพยายามรวบรวม

เป็นการผนึกพลังอย่างที่เรียกว่าพรรคขั้วที่ 3 ระหว่างฝ่ายของพรรคเพื่อไทยกับฝ่ายของพรรคพลังประชารัฐ

เป็นการผนึกพลังเพื่อ “ต่อรอง” ทางการเมืองอย่างเด่นชัด

ความหมายเฉพาะหน้าก็คือ หาก 103 เสียงนี้ตัดสินใจไปอยู่กับทางด้านใดก็จะทำให้ปริมาณส.ส.ของด้านนั้นกลายเป็นเสียงข้างมากโดยอัตโนมัติ

ตรงนี้ทำให้การเมืองไทยดำเนินไปในลักษณะ “สามก๊ก”

ต้องยอมรับว่า “ความสำคัญ”ของ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ก็คือ ความหมายที่ว่า 103 เสียงจะเทและไหลไปรวมอยู่กับปีกใดในทางการเมือง

ความหมายนี้ไม่ต้องรอนานหากแต่วันที่ 25 พฤษภาคมก็รู้

รู้ว่าตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะตกอยู่กับพรรคการเมืองใดระหว่างปีกสืบทอด หรือปีกต่อต้านการสืบทอด

คำตอบนี้จะมีผลต่อตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน