มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่างท่วงทำนองพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงเวลาแห่งการจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
โดยเฉพาะภายหลังจากการโอบกอดอย่างสันถวมิตรสนิทสนมระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน
มีความนิ่ง ความเงียบจากพรรคภูมิใจไทย
ตรงกันข้าม มีการเคลื่อนไหวอันเต็มไปด้วยความอึกทึกครึกโครมภายในพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งกลายเป็นประเด็นแหลมคมในทางการเมือง
ตั้งแต่กรณีของ นายชวน หลีกภัย กับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ลามไปถึง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
สะท้อน” ควันหลง”จากการชิงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค”
ถามว่าความนิ่งภายในพรรคภูมิใจไทยสะท้อนอะไร ถามว่าความปั่นป่วนภายในพรรคประชาธิปัตย์สะท้อนอะไร
สะท้อนเอกภาพ สะท้อนการนำ
พรรคภูมิใจไทยอยู่ภายใต้การนำ “ร่วม”ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีระกูล กับ นายเนวิน ชิดชอบ
จึงแทบไม่ปรากฏเสียงถ้วยชามรามไหเกิดขึ้น
ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์มีลักษณะเป็นสถาบันทางการเมืองอันก่อรูปมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2489 จึงประกอบด้วยหลายกลุ่ม
การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค 2 ครั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้การแยกกลุ่มแบ่งสายภายในพรรคมีความเด่นชัด
ไม่ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ล้วนเน้นย้ำว่าปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่จะยุติลงได้เมื่อมี “มติพรรค”ออกมา
เด่นชัดว่ามติพรรคภูมิใจไทยออกมาแล้ว เด่นชัดว่ามติพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ออกมา และยังต้องทะเลาะกันต่อไป
ประชาชนที่ติดตามพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องติดตามด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเกิดความสับสนไปตามแรงกระเพื่อม เพราะมีบางคน บางพรรคตื่นเต้นมากยิ่งกว่า
ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ล้วนมีความกลัดกลุ้ม
กับการติดตามพรรคภูมิใจไทย ติดตามพรรคประชาธิปัตย์