FootNote : ตัวแปร จาก ประชาธิปัตย์ จุดชนวน หงุดหงิด การเมือง
ที่เคยเห็นว่า 51 เสียงของพรรคภูมิใจไทยคือตัวแปรอย่างสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล อาจเป็นความจริง แต่ถ้าเมื่อใด 51 เสียงของพรรคภูมิใจไทยผนวกเข้ากับ 53 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อนั้นก็จะกลายเป็น “ตัวแปร” ในลักษณะ “ซูเปอร์”ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เพราะเท่ากับเป็น 104 เสียง
จำนวน 104 อาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวน 250 ส.ว.ที่มีอยู่ในมือ แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเมื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิถุนายนแล้ว 250 ส.ว.ก็กลับบ้าน
การที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเจอกับ 104 เสียงพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ในสภาผู้แทนราษฎร
ไม่น่าจะเป็นเรื่องสนุกเท่าใดนัก
ความไม่สนุกในที่นี้เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารจัดการต่อ 53 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และ 51 เสียงของพรรคภูมิใจไทยไม่ดี
โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จะเกิดความเอนโอนไปยังอีก 7 พรรคก็น่าหนักใจ
เพราะบังเกอร์จากพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย
รวมกันแล้วเท่ากับ 246 เสียง
เมื่อ 103 บวกเข้ากับ 246 ตัวเลขก็ออกมาเป็น 347 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับบังเกอร์ของพรรคฝ่ายค้านแข็งแกร่งและ แน่นหนาเป็นอย่างสูง
อย่าถามถึงญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเลย แม้กระทั่งการประชุมรัฐสภาในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ก็หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง
การเมืองในปัจจุบันจึงสะท้อนการเมืองในลักษณะสร้างพันธมิตร ในแนวร่วมอย่างสำคัญ
กรณีของพรรคประชาธิปัตย์จึงก่อความหงุดหงิด
เป็นความหงุดหงิดทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐและโยงยาวไปยังเหล่า “บิ๊ก” ในคสช.ที่เคยมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
จึงได้มีข่าวรัฐประหาร จึงได้มีข่าวยุบสภา จึงได้มีข่าวการชิงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย