คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
ภารกิจของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยที่มีจำนวนถึง 46 คนในการเดินทางไปนครเจนีวา เพื่อนำเสนอรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง หรือไอซีซีพีอาร์ ฉบับที่ 2 ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาตินั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว ด้วยความน่าสนใจหลายประเด็น
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอธิบายว่า เวทีนี้รับรองโดยสมัชชาสหประชาชาติ ไม่ใช่เวทีที่จะมุ่งโจมตีประเทศใดประเทศหนึ่ง หากเป็นแนวปฏิบัติตามปกติตามพันธกรณีกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ
ดังนั้นข้อเสนอจากเวทีนี้ในเรื่องการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนจึงย่อมเป็นที่คาดหมายว่าจะได้รับการตอบสนอง
คณะผู้แทนไทยส่วนใหญ่จากกระทรวงยุติธรรมตอบคำถามคณะกรรมการ สิทธิมุนษยชนในหลายประเด็น ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญการปรับแก้ล่าสุด, มาตรา 44, ศาลทหาร, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, เสรีภาพในการรวมตัวโดยสันติ ไปจนถึงการหายสาบสูญของทนายสมชาย นีละไพจิตร และกรณีการสาบสูญของบิลลี่ พอละจี
มีข้อสังเกตว่าหลายกรณีที่เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หลายเรื่องเกี่ยวโยงกัน เพราะเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่มีผลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
กฎหมายสำหรับสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น ม.44 ที่คณะผู้แทนไทยแจ้งต่อเวทียูเอ็นว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ จึงเป็นจุดขัดแย้งในตัวคำอธิบายเอง
นอกจากนี้คำอธิบายของตัวแทนไทยต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยูเอ็นถึงบริบทการเมืองและสังคมไทยก่อนหน้าเหตุรัฐประหาร 2557 รวมถึงความพยายามของรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติในการผลักดันมาตรการและกฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พัฒนาการตามโรดแม็ปสู่การปรองดอง การปฏิรูป และการเลือกตั้งทั่วไป
น่าติดตามว่ายูเอ็นจะมีปฏิกิริยาและข้อเสนอว่าอย่างไร
เพราะคำเตือนที่ตรงไปตรงมาจากยูเอ็นหลายครั้งถูกฝั่งไทยสรุปว่าไม่เข้าใจบริบทการเมืองไทยหลายครั้ง
ทั้งที่สิทธิมนุษยชนยังคงเป็นความหมายเดิม