การได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาด้วยจำนวนเสียงมาก ถึง 500 ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นชัยชนะ เป็นเรื่องน่ายินดีแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็น 250 ส.ว.ที่ขานเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรครักษ์ป่าประเทศไทย พรรคประชาชนปฏิรูป
ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา
แต่ในความยินดี ภายในชัยชนะที่ได้มาอย่างท่วมท้นอันถือได้ว่าเป็น “รายรับ” นั้น ย่อมมี “รายจ่าย”ตามมา
เป็นรายจ่ายตั้งแต่วินาทีแรกของวันที่ 6 มิถุนายน
จุดเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญมิได้อยู่ที่ว่าแต่ละฝ่ายภายในรัฐบาลเคยพูดอย่างไรในห้วงก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมอันฝังจำในสำนึกของประชาชนอย่างเดียว
ที่สำคัญเป็นอย่างสูงก็คือ จะสามารถแปร “คำพูด”เป็นการปฏิบัติร่วมกันอย่างไร
โดยเฉพาะเงื่อนไขและกฎกติกาก่อนวันที่ 5 มิถุนายน
จุดร่วมอย่างสำคัญจึงมิได้อยู่ที่ “นโยบาย”ของแต่ละพรรคจะได้รับการนำไปกองรวมอยู่ในตะกร้าใบใหญ่แล้วเขย่าออกมาอย่างไร
การจัดสรรบุคคลอันล้ำเลิศเข้าดำรงตำแหน่งในแต่ละกระทรวงจะออกมาแบบไหน
ความพยายามนำ “ประชาธิปไตยสุจริต”ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปดัดแปลง “ประชาธิปไตยวิปริต”ที่มีอยู่ในรัฐบาลคสช.และแสดงร่องรอยผ่านรัฐธรรมนูญ เพื่อสำแดงหลักการอันแน่วแน่ ของพรรคประชาธิปัตย์จะมีโฉมสดสวยเพียงใด
แสงแห่งสปอตไลต์ย่อมฉายจับอย่างจริงจัง ไม่วางตา
ความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบกรับเพียงผู้เดียว ตรงกันข้าม ทุกพรรคที่ร่วมกันเป็นรัฐบาลย่อมมิอาจปัดปฏิเสธได้
1 ปีต่อไปจะล้ำเลิศยิ่งกว่า 5 ปีที่ผ่านมาแค่ไหน เพียงใด
นี่คือสิ่งที่คำถามจะมีต่อทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค
วินาทีแห่งการติดตามเฝ้ามองได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างจริงจัง