คล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมงที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนขึ้นขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุมรัฐสภา
สัญญาณแห่งการปรับเปลี่ยนทางการเมืองก็เริ่มส่งมาจาก พรรคพลังประชารัฐ
เป็นสัญญาณแห่งการ “ดีล”กันใหม่
ที่พรรคประชาธิปัตย์มาดหมายจะได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้กระทรวงพาณิชย์ อาจไม่ใช่ ที่พรรคภูมิใจไทยมาดหมายจะได้กระทรวงคมนาคม อาจไม่ใช่
อำนาจมาอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อำนาจมาอยู่ในมือของ พรรคพลังประชารัฐ อย่างเต็มเปี่ยม
นี่คือกลเกมในแบบ “ยืมหอกสนองคืน”
เด่นชัดยิ่งว่ายุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามนำเอา “ประชาธิปไตยสุจริต”ที่อยู่ในมือเพื่อชำระล้าง “ประชาธิปไตยวิปริต” ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจกลายเป็นปัญหา
น่าสนใจก็ตรงที่พรรคพลังประชารัฐ อ้างเหตุผลเช่นเดียวกับของพรรคประชาธิปัตย์ในห้วงก่อนการเลือกตั้ง
นั่นก็คือ เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
เพราะเรื่องเร่งด่วนมากยิ่งกว่า คือปัญหาความเดือดร้อนในทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร
จึงต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ปัญหาของ “รัฐธรรมนูญ”จึงต้องชะลอเอาไว้ก่อน
จำได้หรือไม่ในทุกเวทีดีเบตเมื่อมีคำถามเรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ล้วนเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ แต่มิได้เป็นเรื่องด่วน
หอกของ 2 พรรคจึงถูกย้อนคืนโดยพรรคพลังประชารัฐ
ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย เคยรุกต่อพรรคพลังประชารัฐมาก่อนในห้วงแห่งการเจรจาก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิถุนายน
เป็นธรรมดาที่เมื่อพรรคพลังประชารัฐกำชัยเหนือกว่า
หลังวันที่ 5 มิถุนายน หลังจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตกอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
การรุกจากพรรคพลังประชารัฐจึงได้เริ่มอย่างดุเดือดเข้มข้น