กรณีของ “คลังแสง”ก็เหมือนกับกรณี”แฮกเกอร์” เริ่มต้นด้วยความ อึกทึก ครึกโครม
จากนั้นก็ค่อยๆเงียบ แล้วก็จางหาย
จำได้หรือไม่ว่า กรณี”แฮกเกอร์”ที่จับมาได้พร้อมกับตำราคู่มือการแฮก และคอมพิวเตอร์พีซี
เริ่มต้นจาก”ทหาร” ตามมาด้วย”ตำรวจ”
ความเหมือนกันเป็นอย่างยิ่งก็คือ ผู้ต้องหาถูกจับพร้อมกับ “ของกลาง”จำนวนมาก
แฮกเกอร์อาจเป็น”คอม” คลังแสงอาจเป็น”อาวุธ”
แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าหน้าจับกุมและนำมาแสดงพร้อมกับ”ของกลาง”เหล่านั้น
คือ “ยาบ้า”
กระนั้น ข้อน่าติดตามอย่างเป็นพิเศษก็คือ ผลจากการจับกุมดำเนินไปอย่างไร
การแฮกได้ยุติหรือไม่
ตรงกันข้าม จากยุทธการ”ปาก้อนหิน”ได้ยกระดับเป็นยุทธ การ “บั้งไฟแสน”
และ”เว็บ”อันเป็น”แม่ข่าย”ก็ยัง”ลอยนวล”
กรณีของ “คลังแสง” มีเป้าหมายสมควรติดตามอย่างน้อยก็ 2 เป้าหมาย
1 คือ ชะตากรรมของ”โกตี๋”จะเป็นอย่างไร
1 คือ ทิศทางต่อไปของ”วัดพระธรรมกาย”
น่าเชื่อว่ากรณี”คลังแสง”จะมีการขยายผลไปยังข้อเรียกร้องในเรื่อง การส่งผู้ร้ายข้ามแดน
นำ”โกตี๋”มาขึ้น “ศาล”
นี่ย่อมเป็นชะตากรรมเดียวกันกับ พระไชยบูลย์ สุทธิผล เพียงแต่รูปคดีต่างกันเท่านั้น
“โกตี๋” เป็นคดีเนื่องแต่”มาตรา 112″
พระไชยบูลย์ สุทธิผล เป็นคดีเนื่องแต่รับของโจร ฟอกเงินและที่พ่วงมาอีกคือ “มาตรา 44”
แต่ถามว่า รู้หรือยังว่า”โกตี๋”หลบอยู่ที่ไหน
แต่ถามว่า รู้หรือยัง พระไชยบูลย์ สุทธิผล อยู่ที่ไหน ในประเทศหรือต่างประเทศ
นี่คือวิถีแห่ง “คนละเรื่อง เดียวกัน”