อนาคตรัฐบาลแขวนบนเส้นด้าย

อนาคตรัฐบาลแขวนบนเส้นด้าย

อนาคตรัฐบาลแขวนบนเส้นด้าย : เลือกตั้ง 24 มีนาคม ผ่านครบ 3 เดือนเต็ม

ต้นสัปดาห์ก่อนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รักษาการนายกฯ และหัวหน้า คสช. เพิ่งยืนยันด้วยตัวเองว่าโผรายชื่อรัฐมนตรี รัฐบาลผสม 19 พรรค นิ่งแล้ว

อยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ประวัติอาชญากรรม หรือคุณสมบัติต้องห้ามต่างๆ คาดว่าเสร็จสิ้น นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ตรงกับที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ คาดการณ์รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” จะเริ่มเดินหน้าได้ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม

ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

จากการประมวลรายชื่อรัฐมนตรี ตามโผล่าสุดที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ พบว่ามีการแบ่งโควตาเป็นของ คสช.กับพรรคพลังประชารัฐ และอีกส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล

ในส่วน คสช.กับพรรคพลังประชารัฐ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ควบ รมว.กลาโหม 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ 4.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย

5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย 6.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม 7.นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง 8.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง 9.นายอนุชา นาคาศัย รมช.คลัง 10.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ

11.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ 12.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.พลังงาน 13.นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิจัย วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม 14.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.อุตสาหกรรม 15.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม

16.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 17.นายอัครา พรหมเผ่า รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 18.นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และ 19.นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม

พรรคร่วมรัฐบาลขนาดกลาง พรรคประชาธิปัตย์ 20.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ ควบรมว.พาณิชย์ 21.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ 22.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

23.นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย 24.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ 25.นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และ 26.นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข

พรรคภูมิใจไทย ประกอบด้วย 27.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ควบรมว.สาธารณสุข 28.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 29.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา

30.น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 31.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย 32.นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ และ 33.นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ

พรรคร่วมขนาดเล็ก พรรคชาติไทยพัฒนา 34.นาย วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 35.นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ พรรครวมพลังประชาชาติไทย 36.ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.การต่างประเทศ

ลงตัว 36 คนพอดี แต่ถึงอย่างไรโผก็คือโผ ตราบใดการตรวจสอบคุณสมบัติยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

รายชื่อมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอด

ในช่วงโค้งสุดท้าย มีกระแสข่าวหนาหู รายชื่อรัฐมนตรีที่ส่งไปถึงมือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐและในส่วนของพรรคร่วม ต้องเขย่ากันอีกหลายรอบ

เนื่องจากบางคนจับใส่เครื่องกรองด้านภาพลักษณ์ แล้วปรากฏว่าไม่ผ่าน จนต้องเปลี่ยนตัวให้ญาติพี่น้องเข้ามารับสัมปทานเก้าอี้แทน บางคนตรวจสอบปูมหลัง พบว่ามี คดีความติดตัวที่ยังเคลียร์ไม่จบ ก็อาจต้องถอดออกไป หาคนใหม่มาเสียบแทน

แต่ที่จะเป็นปัญหากระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลในอนาคต

คือกลุ่มพรรคขนาดเล็ก 2-3 ที่นั่ง อย่างพรรคชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรคพลังท้องถิ่นไทของ นายชัชวาลย์ คงอุดม และพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยของนายดำรงค์ พิเดช

ที่โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีหลุดหายไปดื้อๆ

ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคเหล่านี้ ถึงจะถูกมองเป็นแค่พรรคไม้ประดับ แต่ก็ประกาศจุดยืนมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง 24 มีนาคมเสียด้วยซ้ำไป ว่าพร้อมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีกรอบ

ผิดกับพรรคประชาธิปัตย์–ภูมิใจไทยที่ตัดสินใจมาเข้าร่วมทีหลัง แถมยังต่อรองหนัก กดดันกระทั่งพรรคพลังประชารัฐต้องจำใจยอมสละเก้าอี้กระทรวง“เกรดเอ”ให้ ชนิดที่พรรคเล็ก–พรรคจิ๋วได้แต่มองตาปริบๆ

ก่อนหน้านี้ช่วงข่าวโผรัฐมนตรีอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ

พรรคชาติพัฒนามีข่าวได้โควตา 1 ที่นั่ง มีชื่อนายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรค น้องชายนายสุวัจน์ ลงตัวที่เก้าอี้รมช.อุตสาหกรรม แต่พอมาถึงจุดโผเริ่มนิ่ง ทั้งเก้าอี้ ทั้งชื่อคน ไม่รู้ตกหล่นไปอยู่ไหน

ส่วนพรรครักษ์ผืนป่าฯ ปัญหายิ่งชัดเจนว่า ผู้มีอำนาจ บางคนไม่ทำตามข้อตกลงเดิมที่ให้ไว้กับนายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรค ว่าจะให้เข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ทำงานฝ่ายบริหารในกระทรวงทรัพยากรฯ

สุดท้ายกลับยกโควตากระทรวงนี้ให้พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งแน่นอนว่าพรรคชาติไทยพัฒนาก็ต้องนำคนของพรรคตัวเองเข้ามายึดกุมทุกตำแหน่งไม่ว่าที่ปรึกษาหรือเลขาฯรัฐมนตรี

เป็นเหตุให้นายดำรงค์ พิเดช เกิดอาการเม้งแตก ออกมาทวงสัญญาหลายรอบ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จากแกนนำพลังประชารัฐ

บีบคั้นให้ในที่สุดนายดำรงค์ ต้องงัดไม้ตาย ประกาศขู่เตรียมนำพรรครักษ์ ผืนป่าฯ ซึ่งมีส.ส.อยู่ 2 เสียง ย้ายฝั่งไป อยู่กับ 7 พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรค เพื่อไทย–อนาคตใหม่ ให้รู้แล้วรู้รอด

ต้องรอดูกันต่อไป คำขู่ของนายดำรงค์ พิเดช จะได้ผลมากน้อยขนาดไหน

ในสถานการณ์พรรครัฐบาลมีเสียงส.ส.ในสภาล่าง เกินพรรคฝ่ายค้านแค่ 8 เสียง คือ 254 ต่อ 246 เสียง จำนวน 2 เสียง ของพรรครักษ์ผืนป่าฯ น่าจะมีพลังต่อรอง พอสมควร

คิดเล่นๆ ถ้าพรรครักษ์ผืนป่าฯ ย้ายฝั่งจริง จะทำให้ช่องว่างเสียงรัฐบาลกับฝ่ายค้านหดแคบเข้ามาชนิดไปกลับ กลายเป็น 252 กับ 248 เสียง ห่างกันแค่ 4 เสียง ไม่นับในส่วนพรรคชาติพัฒนาที่ยังเก็บอาการนิ่งอยู่ แต่ลึกๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรค้างคาใจอยู่หรือไม่

เป็นสถานการณ์น่าหวาดเสียวสำหรับรัฐบาล

เหมือนที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯ กล่าวให้โอวาทส.ส. แสดงความเป็นห่วงเวลาสภาพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญ โดยเฉพาะการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบ ประมาณฯ ในช่วงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ถ้าร่างไม่ผ่านหรือแพ้โหวต

จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้

ในเรื่องของพ.ร.บ.งบฯ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นฉากระทึกที่กว่าจะมาถึงก็อีกหลายเดือน สิ่งที่รัฐบาลควรกังวลตอนนี้คืองานจองกฐินของ 7 พรรคฝ่ายค้าน พันธมิตรฟากฝั่งประชาธิปไตย ที่กำลังเปิดศึกรุกไล่ 2-3 ประเด็นใหญ่

ตั้งแต่การตรวจสอบกระบวนการสรรหาส.ว. 250 คน ที่ยื่นญัตติต่อสภาไปแล้ว รอบรรจุวาระ การเตรียมอภิปรายซักฟอกคุณสมบัตินายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวทีแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา

รวมถึงกรณีพรรคอนาคตใหม่ยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย คุณสมบัติ 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ย้อนรอยกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำเอาฝ่ายรัฐบาลต้อง เร่งหาทางแก้เกมยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดี หรือหากศาลรับคดี ก็ขอไม่ให้มีคำสั่งพักงานส.ส.ผู้ถูกร้อง

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ากรณี 41 ส.ส.ถือ หุ้นสื่อ ก่อให้เกิดแรงสะเทือนต่อรัฐบาลมากกว่าประเด็นอื่นๆ

บวกกับปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล สืบเนื่องจากการจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว ที่อาจมีการเอาคืนตลบหลังในช่วงจังหวะชี้เป็นชี้ตาย

อนาคตรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ไม่ต่างจากคนมีชีวิตแขวนบนเส้นด้ายโดยแท้