คอลัมน์ รายงานพิเศษ

การตรวจค้นอาวุธ 9 จุด ในพื้นที่หลายจังหวัดเมื่อเสาร์ที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เชื่อมโยงถึง นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี

และตั้งประเด็นไปยังกลุ่มก่อกวนการเข้าตรวจค้นวัด พระธรรมกาย รวมถึงการขู่ปองร้ายนายกฯ

หากแต่มีเสียงวิจารณ์ถึงการตรวจค้นว่าสมเหตุสมผลเพียงใด หรือเป็นแค่การจัดฉาก

มีมุมมองจากนักวิชาการ นักกิจกรรมทางการเมือง นักสันติวิธี และโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

พ.อ.ปิยพงษ์ กลิ่นพันธุ์

ทีมโฆษกคสช.

การตรวจค้นและจับกุมอาวุธสงคราม 9 จุดนั้น คสช.ทำงานภายใต้ภาพงานด้านการข่าว เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติหลักมีอยู่ด้วยกันหลายส่วนหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทีมทำงานด้านการข่าว ได้ประสานงานร่วมกัน

ที่สำคัญเราได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนที่ให้ข้อมูลเบาะแสด้วย จนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามพฤติกรรมกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้และเกาะติดดูความเคลื่อนไหวมานาน ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ทำงานต้องมีการข่าว ที่ชัดเจนก่อน จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

การตรวจค้นบางจุดเราก็ตรวจพบของกลาง บางจุดก็ไม่พบ ตามที่เห็นจากสื่อมวลชนที่นำเสนอไปแล้วนั้น ยอมรับว่าอาจมีการข่าวรั่วไหลไปบ้าง ทำให้มีการเคลื่อนย้ายของกลางออกไปได้

ส่วนมีการวิจารณ์กันว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่เช่นนั้นและไม่มีความจำเป็นที่จะไปทำ ส่วนสภาพอาวุธที่จะใหม่หรือเก่า ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาหรือการนำไปใช้งาน อาวุธอาจไม่ได้เก็บซุกซ่อนหรือฝังดิน หรือถูกน้ำถูกฝนสภาพก็พร้อมใช้งาน

เรื่องดังกล่าวมีความพยายามให้มาเกี่ยวโยงกับเรื่องปรองดองที่รัฐบาลทำอยู่ขณะนี้ว่าจะมีผลกระทบกระทบหรือไม่ เพราะดูเหมือนจับกุมแต่กลุ่มเสื้อแดง ขอให้เข้าใจว่าการดำเนินการเป็นเรื่องการป้องกันและปราบปรามการก่อเหตุรุนแรงที่กระทบต่อความมั่นคง ความสงบสุขในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เป็นนโยบายของหัวหน้าคสช. ซึ่งมอบหมายและสั่งการต่อเนื่องทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานตามกรอบนโยบายภายใต้กฎหมายเดียวกันที่เป็นธรรมตรงไปตรงมา ยืนยันว่าเราต้องมีการข่าวที่ชัดเจนถึงจะเข้าปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมได้ และตรวจสอบความถูกต้องก่อนเข้าปฏิบัติงาน

ส่วนของงานปรองดองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นกระบวนการที่จะทำให้คนในประเทศ กลุ่มต่างๆ ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างได้มีโอกาสได้มาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นจนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน

การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กระบวนการปรองดองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกันจึงไม่มีผล กระทบใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น

กระบวนการปรองดอง มีขั้นตอนที่ทุกๆ ฝ่ายได้ดำเนิน การอยู่แล้วมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องพรรค การเมืองกลุ่มเห็นต่างได้มีการพูดคุยกันตามกรอบระยะเวลา ได้มีการกำหนดนัดพบเชิญมาพูดคุยแสดงความคิดเห็น และรับฟังขอคิดเห็น มีการเสนอข้อมูล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมส่งให้คณะอนุกรรมการปรองดองฯชุดที่ 2 และคณะกรรมการปรองดองฯชุดที่ 3

ซึ่งขบวนการสร้างความปรองดองขณะนี้ดีมาก ทุกคนมาให้ความคิดเห็นที่ดีกับการแก้ไขปัญหา ร่วมกันหาทางออก ร่วมกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง เรื่องปรองดองถือเป็นการเดินหน้าไปได้ด้วยดี

ยังไม่สามารถบอกได้ในเวลานี้ว่าผู้ต้องหาจะนำอาวุธสงครามไปก่อเหตุอะไร แต่ภาพข่าวที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้คือจะมีมือที่สามเข้ามาก่อเหตุ และเจ้าหน้าที่ระมัดระวัง ทั้งช่วงที่กำลังเข้าไปตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกาย และบริเวณโดยรอบ ขณะที่การลอบสังหารบุคคลสำคัญซึ่งเป็นข่าวก่อนหน้านั้น การข่าวก็มีออกมาเป็นระยะๆ

สถานการณ์จึงยังไม่เอื้ออำนวยที่จะทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือปฏิบัติการได้ เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดกวดขันตรวจตรากันอย่างขะมักเขม้น ผสมผสานกับงานด้านการข่าว ทำให้สามารถควบคุมสถานกรณ์ และนำไปสู่การจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมากได้

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

อักษรศาสตร์ จุฬาฯ

แปลกใจการจับกุมดังกล่าว ไหนว่ารัฐบาลกำลังผลักดันให้เกิดบรรยากาศแห่งความปรองดองขึ้นในสังคมไทย แต่กลับมีการใช้วิธีการเดิมๆ อีก

ภาพรวมการแถลงพบอาวุธสงครามจำนวนมากกรณีดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะเป็นไปได้ เพราะบุคคลที่ลี้ภัยการเมืองนับตั้งแต่คสช.ยึดอำนาจเกือบ 3 ปี คงไม่มีศักยภาพครอบครองสรรหาอาวุธสงครามได้มากขนาดนั้น

แม้จะพยายามอ้างเสื้อแดงปล้นอาวุธตอนปี 2553 แต่ก็เกิดจากการป้องกันอันตรายที่จะมีการสลายชุมนุมและไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แล้วถ้าหากมีอาวุธมากขนาดนี้ทำไมตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจึงไม่ก่อเหตุต่อต้านคัดค้านรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ แต่กลับเก็บไว้รอให้ถูกจับ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของการข่าวแต่เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ โครงเรื่องก็ไร้ความสมเหตุสมผล ยิ่งนำเรื่องนี้ไปผูกโยงกับกรณีวัดธรรมกายก็ยิ่งเหลวไหลมากขึ้นไปอีก เนื่องจากกรณีของธรรมกายสังคมรับรู้รับทราบได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ธัมมชโยก็ไม่ได้ให้เงินช่วยเหลือแก่คนเสื้อแดง

แกนนำนปช.ที่ไปวัดพระธรรมกายก็ไม่อาจสรุปได้ว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร นอกจากวัดนี้เขาก็ไปวัดอื่นกันด้วย ตอนทหารจะบุกธรรมกาย ทางวัดเองก็ไม่ได้สนับสนุนเสื้อแดง หรือเสื้อแดงไปสนับสนุนอะไร มีแต่เชื่อกันไปเอง ตามการรายงานของสื่อกระแสหลักขวาจัด เมื่อเป็นอย่างนี้ โครงเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ยิ่งอ่อนลงไปอีก

ไม่ทราบทหารทำแบบนี้เพื่อต้องการอะไร แต่ที่ผ่านมานับตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ มีการใช้วิธีนี้อยู่ตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการปราบคอมมิวนิสต์ การปราบนักศึกษา 6 ตุลา 19 ที่ตอนนั้นอำนาจรัฐก็อ้างว่าพบเครือข่ายวิทยุใต้ดินติดต่อกับคอมมิวนิสต์โซเวียต ซึ่งเหลวไหล และไม่รู้ว่ามีความหมายต่อความมั่นคงได้อย่างไร

กรณีดังกล่าวแม้จะมีการจับผิดกันอย่างมากในโซเชียลมีเดียหลายจุด ทั้งอาวุธที่ใหม่เอี่ยมเกินไป ธงสัญลักษณ์นปช.ก็ใหม่ แถมรายละเอียดยังผิดจากที่โกตี๋ใช้

แต่ความอันตรายและความเสียหายจะอยู่ที่จะมีคนอื่นซวยพ่วงไปกับโกตี๋อีกหรือไม่ เพราะโครงเรื่องของเขาต้องการนำไปสู่การเชื่อมโยงแพะ เพื่อกวาดจับกุมคุมขัง

พล็อตเรื่องอย่างอ่อนนี้ถูกวางมาให้คนที่พร้อมจะเชื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรับทราบข้อมูล ใครไม่เชื่อหรือจับผิดสิ่งที่แต่งขึ้นมาได้ เขาไม่สนอยู่แล้ว

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ

ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า

การเข้าตรวจค้นอาวุธเจ้าหน้าที่อาจได้การข่าวหรือมีผู้แจ้งเบาะแสก็เป็นได้ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจัดฉากก็ไม่อยากมองไปถึงขั้นนั้น

ตำรวจสามารถตรวจสอบรหัสหมายเลขประจำของอาวุธปืนแต่ละกระบอกที่ยึดได้ ซึ่งสามารถสืบค้นไปถึงแหล่งที่มาและทราบว่าอาวุธปืนที่ค้นเจอเป็นของใคร และกองพิสูจน์หลักฐานสามารถตรวจค้นหาลายนิ้วมือที่อยู่บนอาวุธได้ก็จะทราบได้ว่าเป็นของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองปี 2553 และ 2554 นั้น มีอาวุธปืนบางส่วนที่หายไปในช่วงเวลาดังกล่าวก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าอาวุธปืนที่ค้นเจออาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบ เชื่อว่าตำรวจจะสามารถหาที่มาของอาวุธได้

ไม่อยากให้ทุกฝ่ายไปมองว่าเป็นการจัดฉากของเจ้าหน้าที่ พูดกันแบบนี้เรื่องก็ไม่จบ ต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานออกมาให้ชัดเจน ส่วนที่มองว่าอาวุธที่ตรวจพบยังใหม่นั้นบางทีก็ขึ้นกับการเก็บรักษา จึงไม่อยากให้ไปเชื่อมโยงหรือมองกันแบบนั้นเลย ปล่อยให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนดำเนินการหา ข้อเท็จจริง

สำหรับการใช้มาตรา 44 เข้าตรวจค้น เข้าใจว่าที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้มาตรา 44 เพราะหากใช้หมายค้นอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้ตัวก็เป็นได้ ขอให้ว่ากันไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ

เชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ส่งผลกระทบไปถึงการสร้างความปรองดองที่รัฐบาล คสช.กำลังดำเนินการอยู่เพราะไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องคดีความขอให้ว่ากันไปตามกฎหมาย

สมบัติ บุญงามอนงค์

บ.ก.ลายจุด นักกิจกรรมทางการเมือง

การปูพรมตรวจค้นอาวุธคนเสื้อแดงหลายจุดในหลายจังหวัดเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่รัฐมีสิทธิที่จะดำเนินการได้

เป็นการประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากการข่าวแจ้งเตือนว่ามีอาวุธหรือมีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกองกำลังอาวุธ รัฐก็มีสิทธิตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ เป็นการใช้สิทธิดำเนินการในส่วนของรัฐที่เป็นปกติเมื่อได้รับการแจ้งข่าว

แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือการให้ข่าวในลักษณะทางการเมือง เช่น การตรวจค้นครั้งนี้มีการ ให้ข่าวเชื่อมโยงถึงโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี การให้ข่าวระบุว่าพบอาวุธที่บ้าน โกตี๋ แต่โกตี๋บอกว่าไม่ใช่บ้านของเขา

คำถามที่ตามมาการไปให้ข่าวว่าเป็นบ้านของโกตี๋คืออะไร รวมถึงการให้ข้อมูลของทางเจ้าหน้าที่ที่ให้ไม่ครบถ้วน เช่น อาวุธปืนที่บอกว่าพบบอกว่าเป็นปืนชนิดใดหรือไม่ หากเป็นบีบีกัน เป็นบีบีกันทั้งหมดด้วยหรือไม่ ดังนั้น เมื่อเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา ในสังคมจึงเกิดความสับสน

ส่วนที่รัฐพยายามเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายนั้น ประเด็นนี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะคิดว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายเลย เมื่อมีการพูดเชื่อมโยงถึงทำให้เกิดความรู้สึกแย่ว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจหวังผลทางการเมือง

ส่วนที่โกตี๋พยายามอธิบายข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องหนึ่ง โกตี๋เองต้องรู้ว่าต้นทุนตัวเองไม่ดี การเอาตัวเองไปเชื่อมโยงวัดพระธรรมกายจึงไม่ใช่เรื่องดี ทางที่ดีคือต้องไม่สร้างปัญหาและไม่เอาเรื่องไปปะปนกัน

เมื่อเราไม่รู้ข้อเท็จจริงส่วนตัวคงไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่ อย่างไร แต่เท่าที่เห็นแอ๊กชั่นในการดำเนินการมองว่าจริงจัง เพียงแต่เวลาให้ข่าวของทางฝั่งรัฐมักจะเกิดคำถามตามมา เนื่องจากยังมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ทำให้สรุปไปทางใดทางหนึ่งไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดองเพราะรัฐก็มีสิทธิตรวจค้น มองว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงมากกว่าซึ่งต้องแยกออกจากเรื่องความปรองดอง

แต่ถึงขั้นที่ต้องใช้มาตรา 44 เข้าดำเนินการก็ไม่เห็นด้วยและไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 ในทุกกรณี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน