เริ่มมีความแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับต่อจังหวะก้าวที่ 2 ในทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ในสมรภูมิการเลือกตั้งท้องถิ่นว่าจะดำเนินไปอย่างไร
คำตอบจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปรากฏออกมาแล้วว่า
“พรรคคงไม่ได้ส่งครบทั้ง 77 จังหวัด เนื่องจากพรรคเพิ่งเกิดและเติบโตได้เพียง 1 ปี ยังมีเครือข่ายไม่เข้มแข็งพอ ขณะนี้พรรคจะส่งผู้สมัครชิงนายกอบจ.ที่พร้อมเพียง 20 จังหวัด”
หลักพื้นฐานของพรรคอนาคตใหม่ระบุว่า เป็นการส่งในพื้นที่ ทาง”ยุทธศาสตร์”
ความหมายก็คือ มีความพร้อมอยู่แล้ว 20 จังหวัด
จังหวะก้าวนี้ของพรรคอนาคตใหม่เท่ากับเป็นการพิสูจน์ถึงความพร้อมว่ามีมากน้อยเพียงใด
ท่าทีของพรรคอนาคตใหม่ที่กำหนดเพียง 20 จังหวัดแทนที่จะเป็น 77 จังหวัดทั่วประเทศสะท้อนให้เห็นว่า งานเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเป็นงานหินยิ่งกว่างานเลือกตั้งส.ส.
เพราะในระดับประเทศ พรรคอนาคตใหม่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ครบทั้ง 350 เขต
แต่ในระดับท้องถิ่นส่งเพียง 20 จังหวัด
และภายใน 20 จังหวัดที่ว่ามีความพร้อมก็เป็นความพร้อมทางด้านพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นหลัก มิได้หมายถึงความพร้อมของประชาชนที่จะเลือกพรรคอนาคตใหม่
เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่าการเลือกตั้งนายกอบจ. เทศบาลและนายกอบต.ที่ผ่านมาดำเนินไปอย่างมีลักษณะผูกขาด ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของ”บ้านใหญ่”ในแต่ละพื้นที่
เป็น”บ้านใหญ่”ที่ยึดครองตั้งแต่ระดับตำบล เทศบาลไปจนถึงระดับจังหวัด โดยมี ส.ส.อันเป็นระดับประเทศเป็นผู้ควบคุม บงการลงมาอีกทอดหนึ่ง
การรุกของพรรคอนาคตใหม่จึงเป็นการรุก”บ้านใหญ่”
พลันที่พรรคอนาคตใหม่ประกาศจะรุกเข้าไปยังการเลือกตั้งระดับ”ท้องถิ่น” สายตาและมุมมองก็แทบไม่แตกต่างไปจากที่เคยประกาศตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2561
นั่นก็คือ จะเป็นไปได้อย่างไร จะแจ้งเกิดได้อย่างไร
คำถามก็คือ บทเรียนจากการเลือกตั้ง ส.ส.จะประยุกต์ใช้กับ การเลือกตั้งท้องถิ่นได้หรือไม่ เพราะว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นคือรากฐานให้กับการเลือกตั้งระดับชาติ