กรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อาจเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เรื่องเล็กๆนี่แหละอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ เนื่องจากโครงสร้างและวิถี ดำเนินไปภายในกระบวนการ

ไม่เพียงเพราะ “อดีต” หากแต่ยังเกี่ยวเนื่องกับ “ปัจจุบัน”ในการดำรงอยู่ของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

เป็นอดีตที่เขาเคยเป็นพวกเดียวกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

เป็นอดีตที่เขาเคยเป็น ส.ส.ในสังกัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนพรรคเพื่อไทย

และเป็นปัจจุบันที่เขาเป็นผู้สมัครส.ส.พรรคพลังประชารัฐ

อดีตเช่นนี้เองเมื่อมองผ่านบทบาทของ”เจ้าหน้าที่รัฐ”ก็จะประจักษ์ในท่าทีที่แปรเปลี่ยนไป

เป็นการมองผ่านคดีบุกการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552

ท่าทีนี้ในห้วงที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยังเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นอยู่กับนปช. อยู่กับพรรคเพื่อไทย ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่มีอะไรผิดสังเกต

เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ในบรรทัดฐาน เดียวกันกับที่ปฏิบัติต่อ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและคณะ

แต่เมื่อเข้าสู่โหมดแห่งการแปรเปลี่ยนในปี 2551

นับแต่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แยกแตกตัวออกจากนปช.แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทย และปวารณาเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับพรรคพลังประชารัฐ

ท่าทีของเจ้าหน้าที่รัฐต่อ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ต่อการดำเนินคดีมีความแตกต่างไปจากท่าทีต่อ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและคณะ

แม้ว่าจะเป็นคดีบุกการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการออกหมายจับก่อนที่คดีจะหมดอายุความในเดือนเมษายน 2562

ถือได้ว่าเป็น”กรณีศึกษา”ในเส้นทางแห่งความยุติธรรม

หากมองจากตัวตนของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งภายในพรรคพลังประชารัฐอาจเป็นเรื่องเล็กๆแทบไม่สลักสำคัญอะไรเลย

ประกอบกับ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็น ส.ส.สอบตก

แต่เมื่อมองว่ากรณีนี้ไปสัมพันธ์กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและคณะซึ่งเป็นเลขาธิการนปช.

ทำท่าว่า”เรื่องเล็กๆ”อาจไม่เป็น”เรื่องเล็ก”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน