ไม่ว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่ว่า นายอนุชา นาคาศัย จำเป็นต้องศึกษา “กลยุทธ์”ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
บางทีการเล่นบท “แข็ง” รุนแรง กร้าว อาจไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป
บางทีการรุกอย่างเดียวอาจไม่ WORK
เพราะเมื่อเปิดปฏิบัติการรุก หากว่าอีกฝ่ายเขาไม่กลัวเขาย้อนกลับมาด้วยมาตรการแข็งกร้าวเช่นเดียวกัน ในที่สุดก็กลายเป็นหนียะย่ายพ่ายจะแจ
ต้องออกมานั่งเป็นพระอันดับแถลงข่าวข้างเคียงกับ นายอุตตม สาวนายน
จำเป็นต้องศึกษาจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ถามว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า บริสุทธิ์ผุดผาดดั่งทองทาหรือไม่ในทางการเมือง
หากมองจากยุทธจักร “สายเสธ.”ก็จะได้คำตอบ
แต่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาศัยความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับได้รับความไว้วางใจให้เป็น ประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือตอนบน
มีสถานะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
จากนั้นก็ทะลวงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยอย่างดุเดือด
เมื่อมีข่าวการฟอร์มครม.ในเบื้องต้นปล่อยชื่อ นายอัครา พรหมเผ่า น้องชายออกมาก่อน แล้วจากนั้น นายอัครา พรหมเผ่า ก็ถอนตัว
บนเหตุผลที่ว่าต้องการไปสร้างความแข็งแกร่งในพื้นที่
และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเงียบเชียบแล้วก็มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เตะ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ออกไป
ท่วงทำนองของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้าลักษณะหงิมๆหยิบชิ้นปลามัน
เหนือชั้นกว่า นายอนุชา นาคาศัย
หากมีพระบรมราชโองการโปรดเก้าฯออกมาเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ตามโผเสร็จสมอารมณ์หมายทุกอย่างก็เรียบร้อย
เรียบร้อย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
