สื่อเสื่อมเสี้ยมเกลียดชัง คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ในกระแส “จ่านิว” ถูกรุมกระทืบซ้ำจากพวกจิตทรามในสื่อสังคมออนไลน์ มีคำถามว่าสังคมไทยเสื่อมศีลธรรมปานนั้น หรือโลกโซเชี่ยลชักนำให้แสดงความเกลียดชังสุดกู่

คำตอบเบื้องต้นน่าจะถูกทั้งสองข้อ คือถ้าออกหน้าออกตามาพูดเป็นตัวเป็นตน คนส่วนใหญ่ก็จะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น หรืออย่างน้อยก็รักษากิริยาท่าที แต่ถ้าไม่มี DNA สะใจ “เก้าอี้ฟาด” ก็คงไม่ถูกชักนำถึงปานนั้น

ความขัดแย้งทางการเมืองแบ่งสังคมไทยเป็น 2 ข้าง สื่อสังคมออนไลน์ก็ยิ่งซ้ำเติมให้คนเห็นแต่พวกเดียวกัน เปิดเฟซมา คุณจะไม่ได้อ่านความเห็นขั้วตรงข้าม เว้นแต่ ตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” กูเกิล ยูทูบ ก็เช่นกัน มุ่งนำเสนอสิ่งที่คุณสนใจเพื่อขายโฆษณา แบบสื่อใหญ่ยังปล่อยไก่ ทำไมเว็บสื่อมีแต่โฆษณากางเกงใน ทำให้เด็กรุ่นหลังหุยฮา

กลุ่มไลน์ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากเชื่อตามกันไปโดยไม่ดูที่มา ยังเป็นแหล่งสารพัดยารักษามะเร็ง

โลกโซเชี่ยลจึงมีทั้งคุณและโทษ ขณะที่ให้พื้นที่เสรีประชาธิปไตย ในยุครัฐประหารปิดกั้นสื่อ การแสดงความคิดเห็นอย่างมีหลักการเหตุผล ไม่เร้าอารมณ์คนเท่าวาทกรรมปลุกความโกรธเกลียด หรือเยาะเย้ยหยามหยัน ซึ่งแม้ด้านหนึ่งเป็นอาวุธของฝ่ายประชาธิปไตย ใช้หัวร่อประชดประชันเผด็จการ แต่ฝั่งอนุรักษนิยมสุดขั้วสุดโต่ง ซึ่งอยู่บนฐานความคิดตื้นเขิน ความเชื่อฝังหัว ที่มาจากรากฐานการศึกษาและวัฒนธรรม ก็ปลุกความเกลียด ความเบาปัญญา ปล่อยข้อหาให้ร้ายป้ายสี หรือ fake news ได้ง่ายกว่าด้วยซ้ำ

สื่อเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้ทางการเมือง ตั้งแต่ยุคพันธมิตร สนธิ ลิ้ม ASTV ขณะที่เสื้อแดงก็ใช้ทีวีดาวเทียม วิทยุชุมชน จนถูกสื่อกระแสหลักในยุคนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เกลียดทักษิณ แยกว่าเป็น “สื่อแท้-สื่อเทียม”

อย่างไรก็ดีเมื่อเข้าสู่ยุคโซเชี่ยล ประกอบกับรัฐประหาร 5 ปีปิดกั้นเสรีภาพสื่อ ปิดวิทยุชุมชน ทีวีดาวเทียม สื่อทั้งหลายก็กระอัก คนเลิกอ่านหนังสือพิมพ์ หรือกระทั่งเลิกดูทีวี หันไปตามข่าวในมือถือ เข้าสู่ภูมิทัศน์สื่อใหม่ ซึ่งหารายได้จากยอดวิวยอดกดไลก์กดแชร์ที่นำไปคิดค่าโฆษณา

มันอาจเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน เพราะสื่อออนไลน์ที่มีคุณภาพก็เกิดขึ้นจำนวนไม่น้อย เพราะไม่จำเป็นต้องมีค่ากระดาษ โรงพิมพ์ สายส่ง ค่าฝากขาย ฯลฯ ทำให้เกิดสื่อทางเลือกนำเสนอข่าวสารมุมมองหลากหลาย แต่อันตรายก็คือมันเกิดสื่อที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณภาพ ถึงความเป็นมืออาชีพ ถึงการสร้างองค์กรให้มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้อ่านซื้อ เพื่อให้ลูกค้ามาลงโฆษณา แบบที่ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน เนชั่น บางกอกโพสต์ ฯลฯ สถาปนาตัวเองมาหลายสิบปี

ทุกวันนี้ จึงมีสื่อที่เราไม่เคยรู้จัก ขายข่าวดาราดราม่า ข่าวเต้าข่าวหวือหวา บางทีก็ก๊อบเขามา ไม่ต้องอาย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ขอเพียงได้ยอดวิว ก็ได้ค่าโฆษณา

แม้แต่สื่อหลักก็ต้องตามกระแสไปด้วย ต้องเรียนวิชาพาดหัวข่าวใหม่ ทำอย่างไรกระตุ้นให้คนเข้าไปอ่าน เช่นข่าวกีฬา หงส์ผีทุ่มซื้อแข้งใหม่ อยากรู้เป็นใครก็ต้องกดเข้าไปดู ฝ่าโฆษณาเต็มหน้าจอกว่าจะรู้ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่

แต่ข่าวดาราข่าวกีฬายังไม่ร้ายเท่าขายความเกลียดชังทางการเมือง ซึ่งทำอย่างไร้จรรยาบรรณ ทั้งด้วยจุดยืนที่เกลียดชังฝ่ายประชาธิปไตย และรู้ว่าความเกลียดชังนั้น “ขายได้”

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นอย่างที่วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ กล่าวในการเสวนาที่จุฬาฯ สื่อเลือกข้างเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องเสนอความจริง ค้นหาความจริง และต้องมีการคัดกรอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างจาก forward mail (ซึ่งเคยเป็นอาวุธเผยแพร่ความเชื่อ conspiracy ในม็อบพันธมิตร) แต่ทุกวันนี้สื่อบางสำนักพาดหัวข่าวไม่ตรงกับเนื้อข่าว แล้วคนก็เชื่อง่าย ปักใจเชื่อ ส่งต่อกันทางออนไลน์ทันที

ซึ่งก็เข้าทาง ทั้งเป้าหมายทางการเมืองและการหารายได้ อย่างที่เทพชัย หย่อง เคยกล่าวว่าสื่อค่ายหนึ่งผู้บริหารกำหนดรายได้ให้คนเขียนข่าวโดย 25 วิว ได้ 1 บาท

ความเกลียดชังที่เกิดกับจ่านิว ความเกลียดชังที่เกิดกับพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่ใช่แค่ความเห็นต่าง ทัศนะตรงข้าม หรือแยกโลกกันในสังคมออนไลน์ แต่ยังมีการเสี้ยม การปลุก การบิดเบนเนื้อหาสาระ พาดหัวชง หรือตัดต่อถ้อยคำ (แบบที่เคยมีผังล้มธนาธร) กระทั่ง fake news กันเห็นๆ กรณีตัดต่อคลิปทักษิณ

สื่อเสี้ยมเหล่านี้ไม่ได้ใช้เหตุผล ไม่ได้ต่อสู้ด้วยเหตุผล ถูไถไปข้างๆ คูๆ บนความเกลียดชังและเบาปัญญาของคนฝ่ายตน

ที่น่าสังเกตคือ สื่อบางค่ายมีความเกี่ยวพันกับฝ่ายการเมือง นี่เป็นความจงใจใช้การปลุกความเกลียดชังสุดขั้วสุดโต่ง เป็นเครื่องมือคุมอำนาจใช่ไหม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน