รายงานพิเศษ : ก้าวแรกรัฐบาลเริ่มนับถอยหลัง
ก้าวแรกรัฐบาลเริ่มนับถอยหลัง : แค่ประดาบก็เลือดเดือด
ระเบิดศึกโหดมันฮาต่อเนื่อง 3 วัน 2 คืน สำหรับการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อเดือนส.ค.2554
ในสมัยรัฐบาล คสช. การเมืองในสถานการณ์ไม่ปกติ มีการแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็จริง แต่ก็เป็นการแถลงแบบขอไปที ไม่มีฝ่ายค้านทำหน้าที่อภิปรายซักถามประเด็นสำคัญต่างๆ
ถึงที่สุดการแถลงนโยบายครั้งนี้ รัฐบาลจะเอาตัวรอดไปได้ เนื่องจากไม่มีการลงมติ
แต่บรรยากาศตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่คณะรัฐบาลโดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม จำเป็นต้องรับฟังและนำมาคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ถ้วนถี่ อะไรดีนำไปปฏิบัติ ไม่ดีก็ปล่อยผ่าน
ที่สำคัญ บรรยากาศการเมืองภายใต้กลไกระบบรัฐสภา การแถลงนโยบายเป็นแค่ด่านเริ่มต้น ต่อจากนี้รัฐบาลอดีตคสช. และพล.อ.ประยุทธ์ จำเป็นต้องเร่งปรับตัวปรับอารมณ์ให้คุ้นชินโดยเร็ว ต้องทำใจยอมรับให้ได้กับการถูกตรวจสอบ
หลังจากนี้ในอนาคตยังมีเรื่องของร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯประจำปี เรื่องของกระทู้ถามต่างๆ ไปจนถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งฝ่ายค้านประกาศแล้วว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในระยะเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้
ปรับตัวไม่ได้ก็อยู่ลำบาก โดยเฉพาะการเป็นรัฐนาวา “ปริ่มน้ำ” ที่พร้อมเกิดอุบัติเหตุอับปางได้ทุกเมื่อหากตั้งอยู่บนความประมาท
ด้วยเชื่อมั่นในอำนาจตนเองมากจน เกินไป
ในการแถลงนโยบายรัฐบาลที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งประกาศตัวเป็นผู้นำรัฐบาลจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย มีประชาชนให้การสนับสนุนผ่านระบบพรรคการเมืองมากกว่า 8 ล้านเสียง
แถลงนโยบายหลักในการบริหารประเทศ 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง แบบแร็พๆ รัวๆ ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง รวดเร็วกว่ากำหนดเวลาที่รัฐสภาจัดสรรไว้ให้ครึ่งชั่วโมง
อ่านข้ามไปข้ามมาจนฝ่ายค้านเวียนหัว ต้องชูมือประท้วง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาต้องงัดกติกาข้อบังคับ สั่งอ่านใหม่ให้ครบถ้วนถูกต้องตามเล่มนโยบายที่แจกจ่ายให้กับสมาชิก
เกี่ยวกับทักษะการพูดการอ่านของพล.อ.ประยุทธ์ ต่อสมาชิกรัฐสภานั้น ไม่เท่าไหร่ เพราะมีเล่มอยู่ในมือให้ตรวจทาน ทำความเข้าใจ
แต่สำหรับประชาชนผู้ติดตามชมการถ่ายทอดสด อยู่บ้านน่าจะประสบปัญหามากพอควร คือฟังไม่ทัน บางประโยคจับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีการตั้งข้อสังเกต ความจริงพล.อ.ประยุทธ์ สามารถอ่านคำแถลงนโยบายให้ช้าๆ ชัดๆ กว่านี้ก็ทำได้ แต่ ไม่ทำ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าไม่ให้ความสำคัญ กับสมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าส.ส.รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน กระทั่งส.ว.
ในส่วนส.ส.ฝ่ายค้านไม่แปลกเพราะเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ส.ส.รัฐบาลและส.ว. การไม่ให้ความสำคัญก็เพราะว่า สมาชิกรัฐสภาทั้ง 2 ส่วนนี้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล เป็นส.ว. ก็เพราะตนเองทั้งสิ้น
หากใครฟังการชี้แจงตอบโต้ฝ่ายค้านของนายดอน ปรมัตถ์วินัย หรือกระทั่งพล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ก็จะเข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ ถึงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เป็นสมาชิกวุฒิสภา
สิ่งหนึ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นในการแถลงนโยบาย คือการที่พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวทีนี้กล่าวข่มขู่คุกคามฝ่ายค้าน ให้เตรียมตัวไว้ให้ดี เพราะมีคดีค้างอยู่พันกว่าคดี
บางช่วงบางตอนยังเก็บอารมณ์ไม่อยู่ แสดงออกทางสีหน้าท่าทาง เบ้ปาก ทำตาขวาง ถึง“พี่ใหญ่”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่นั่งอยู่ติดกันจะคอยสะกิดเตือนให้ระงับสติอารมณ์
แต่พอโดนอดีตผบ.ตร.รุ่นพี่เตรียมทหาร อภิปรายกระตุกหนวดเรื่องการเข้าสู่อำนาจเป็นนายกฯ 2 สมัย ไม่ชอบธรรมตามกฎกติกาประชาธิปไตย ก็ทำเอาตบะแตก ลุกขึ้นแลกหมัด ประกาศตัดพี่ตัดน้องกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
เร่งอุณหภูมิในสภาให้ร้อนฉ่าเสียเอง
เวทีแถลงนโยบายรัฐบาลครั้งนี้ สิ่งที่เป็นไปตามความ คาดหมายคือ พรรคฝ่ายค้านได้อาศัยเวทีนี้ในการซ้อมใหญ่เตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พรรคเพื่อไทยอภิปรายโจมตีนโยบายรัฐบาลจัดทำ แบบซ่อนเร้น ปิดบัง ไม่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาประชาชน ไม่ครอบคลุม ไม่บอกที่มางบประมาณ ไม่กำหนด เป้าหมายความสำเร็จ ขาดรูปธรรมชัดเจน
คณะรัฐมนตรีผู้ขับเคลื่อนนโยบาย หลายคนมีคดีความติดตัว ยังไม่เคลียร์ ไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือแม้แต่ นายกฯ ก็มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ไม่แน่ชัดว่าขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
การไม่ใส่ตัวเลขที่มารายได้ในการดำเนินนโยบาย แต่ละด้าน ทำให้แถลงนโยบายไม่ต่างจากการ“ตีเช็คเปล่า”
อาจไม่ครบองค์ประกอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ที่บัญญัติให้การแถลงนโยบายต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มารายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย หรือไม่
พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายสรุป 3 ลักษณะเด่นนโยบายรัฐบาลนี้ เลื่อนลอย โลเล หลอกลวง
ตัดปะนโยบายแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ ทำได้แต่นโยบายเฉพาะหน้าที่มุ่งหาเสียง นโยบายเชิงก้าวหน้าทำไม่ได้
เป็นเรื่องปกติที่คณะรัฐมนตรีจะต้องชี้แจงโต้ตอบความเห็นหรือข้อท้วงติงของฝ่ายค้านในสภา
ครั้งนี้แปลกไปบ้างตรงที่ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรี ลุกขึ้นแลกหมัดฝ่ายค้านแบบทันทีทันใด ต่างจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลอื่น ที่มักชี้แจงตอบโต้รวดเดียว ตอนท้ายก่อนปิดประชุม แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้
ส่วนรัฐบาลชี้แจงหักล้างฝ่ายค้านได้ หรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คะแนนตัดสิน
ตรงนี้เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ปัญหาการควบคุมอารมณ์ของนายกฯ กลายเป็นสิ่งบดบังเนื้อหาสาระในการแถลงนโยบาย และตอบข้อซักถามให้ฝ่ายค้าน ประชาชนที่เฝ้าดูอยู่ให้เข้าใจ ทำให้บรรยากาศการประชุมเสียไป
เสียคะแนน เสียอาการ เสียรังวัดอีก ต่างหาก
นอกจากบรรยากาศดุเดือดเลือดพล่าน
ยังมีอีก 2 เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นในเวทีแถลงนโยบายครั้งนี้
เรื่องแรก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ อภิปรายแสดงความไม่เชื่อมั่นในนโยบายรัฐบาลข้อที่ระบุ จะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เพราะผู้นำรัฐบาลชุดนี้ เคยทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้ว
ท่าน“วันนอร์” ในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์อภิปรายเปิดโปงเบื้องหลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
“ท่านชี้หน้าพวกผม บอกว่าใครอย่าคิดสู้ เพราะถึงสู้ก็สู้ไม่ได้ ผมเตรียมการเรื่องนี้มา 3 ปีกว่าแล้ว ประโยคนี้สำคัญและข้องใจจนบัดนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้ถาม ขอถามวันนี้ว่า การเตรียมการมา 3 ปีกว่า หมายความว่าอย่างไร”
กับอีกเรื่อง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ จุดพลุเปิดประเด็นกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน แล้วกล่าวประโยคปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 กำหนด
ตกหล่นประโยคสุดท้ายที่ว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”ไป
ความไม่ครบถ้วนนี้ มีผลกระทบเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของนายกฯ และคณะรัฐมนตรี รวมถึงการแถลงนโยบายที่เพิ่งจบไปหรือไม่ อย่างไร การไม่มีใครออกมาให้ความเห็นวินิจฉัย ทำให้เรื่องนี้ค้างคาใจ รอการคลี่คลายต่อไป
จากสภาพการณ์โดยรวม ถึงรัฐบาล“แป๊ะคนเดิม” จะรอดพ้นด่านแรกไปได้ แต่ก็สะบักสะบอมไม่น้อย
เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเจอตลอดทุกย่างก้าว
บนเส้นทางแห่งการนับถอยหลัง