รธน.ไพบูลย์โมเดล :คอลัมน์ ใบตองแห้ง

เสียดายจัง พรรคน้อมนำพระพุทธเจ้า ซึ่งควรจะเป็นเสาหลักของศีลธรรม ในยุคแจกตังค์ไปเที่ยว-เปิดผับตีสี่ ต้องมีอันยุบตัวเองซะงั้น

แต่ไม่เป็นไร ไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเพิ่งโผล่ไปให้กำลังใจ “หญิงเป็ด” (ผู้เคยประกอบคุณงามความดี) จะย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ผนึกพลัง สิระ เจนจาคะ “คิดดี ทำดี”

เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง มีอะไรที่ไพบูลย์ทำไม่ได้ มือกฎหมายซะอย่าง กรธ. ที่ปรึกษา กรธ. อย่าโวยวาย ก็เขียนสูตรทศนิยมไว้ให้ 45,420 คะแนนเป็น ส.ส.ได้ ให้ยุบพรรคตัวเองได้ ยุบแล้วย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ใน 60 วัน

ไม่เห็นผิดตรงไหน ถ้าพรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคพลเมืองไทย จะเอาอย่าง ก็อย่าโทษไพบูลย์ ต้องโทษคนเขียนรัฐธรรมนูญต่างหาก รวมทั้งสูตรคณิตศาสตร์ ที่กลับให้คนได้จำนวนเต็มสอบตก 0.6 สอบได้

ถ้าไม่ใช่ระบบบัตรใบเดียว ซึ่ง กกต.แจกใบเหลืองใบแดง สั่งเลือกตั้งใหม่เมื่อไหร่ ต้องคำนวณจำนวน ส.ส.กันใหม่ จนกว่าจะพ้น 1 ปี มันก็คงไม่ยุ่งอย่างนี้ นี่คนทั้งประเทศต้องมานั่งสงสัย จะใช้วิธีไหนคำนวณ อธิบายกันให้ยุ่งไปหมด ทั้งกฎหมาย ทั้งคณิตศาสตร์ กลับหลักกลับด้าน

บ้างก็ว่าต้องตัดคะแนนพรรคน้อมนำฯ ทิ้งไป คำนวณใหม่ แล้วไพบูลย์ต้องย้ายไปพรรคที่ได้ ส.ส.เพิ่ม ไม่งั้นตกเก้าอี้ ก็เลยมีคนมโนต่อว่า ถ้าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ต้องใช้วิธีเดียวกัน อ้าว ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ตั้ง 50 คน ไม่มีที่ไป นี่ “ไพบูลย์พลีชีพ” เพื่อให้อนาคตใหม่ตายหมู่ แหงๆ เลย

ปัดโธ่ มันจะไปถึงขั้นนั้นได้อย่างไร ไม่ว่า 45,420 คะแนนของพรรคไพบูลย์ หรือ 6.3 ล้านของอนาคตใหม่ ก็มาจากประชาชนผู้ใช้สิทธิ กกต.ตัดทิ้งไม่ได้ รัฐธรรมนูญมาตรา 101 ก็ให้ ส.ส.ที่พรรคถูกยุบย้ายพรรคได้ใน 60 วัน

ความน่าจะเป็นคือ กกต.ต้องกันคะแนนพรรคที่ถูกยุบออกไป ไม่นำมาคำนวณเมื่อมีเลือกตั้งใหม่ ส่วนตัว ส.ส.จะย้ายไปไหนก็ได้ ไม่นำมาคำนวณใหม่เช่นกัน เช่นหลังพรรคประชาชนปฏิรูปยุบตัวเอง ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ การคำนวณครั้งต่อไป ก็กัน 45,420 คะแนนออก แล้วจัดสรร ส.ส.ใหม่จาก 499 คน

อย่างนี้สิ จึงจะเป็นไปตามเจตจำนง คือไพบูลย์อยู่ยงคงกระพัน คะแนนเปลี่ยนอย่างไรก็ไม่ตกเก้าอี้แบบไทยรักธรรม บางคนอาจโวย อย่างนี้ก็ได้หรือ อ้าว ก็เขียนกติกาเปิดช่อง ทำไมจะทำไม่ได้ เลือกตั้งครั้งหน้าถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญ พรรคหนึ่งเสียงจะล้นไปหมด แล้วค่อยยุบไปอยู่พรรคหลัก

กระนั้น วิธีคำนวณก็อาจไม่เป็นตามคาด เพราะเป็นอำนาจ กกต.ตีความแบบไหนก็ได้

นี่คือวิบัติรัฐธรรมนูญ ของประเทศที่เคยเคยภาคภูมิใจว่า เป็นประชาธิปไตยกว่าใครในอาเซียน แต่พอสมาชิกรัฐสภาอาเซียนกลุ่มสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ ก็หาว่าเขาจุ้น ใครสนับสนุนเป็นพวกชังชาติ

ไม่มีชาติไหนในอาเซียน เขียนรัฐธรรมนูญให้ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตเลือกตัวเองเป็นนายกฯ ไม่มีชาติไหนในโลก เลือกตั้งมาแล้วจำนวน ส.ส.ไม่ตรงตามที่ประชาชนลงคะแนน ต้องให้ กกต.คำนวณ ต้องให้ กกต.รับรอง มีอำนาจให้ใบส้มใบแดง เพียงเพราะ “เชื่อได้ว่า” ทุจริต

ไม่มีชาติไหนในโลก ที่การแสดงบัญชีทรัพย์สินเป็น circus มีไว้จับผิด ไม่ใช่จับทุจริต ต้องฝากเงินไว้กับแม่ ฝากเครื่องบินไว้กับพี่ ยืมรถยืมนาฬิกาเพื่อน

ขณะเดียวกันก็เคร่งครัดประโยชน์ทับซ้อน ห้ามเมียรัฐมนตรีถือครองหุ้นสัมปทานรัฐ แม้เพียงน้อยนิด มองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ แต่หัวหน้าพรรคของรัฐมนตรีคมนาคม กลับเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของประเทศ

เช่นเดียวกับห้ามถือหุ้นสื่อ ทั้งที่ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ หรือปิดตัวเองไปแล้ว ไม่มีผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

แทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเข้าสู่อำนาจ การใช้อำนาจบริหารประเทศ กลายเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจศาล องค์กรอิสระ ขึ้นกับการวินิจฉัย ตีความ กลายเป็นงานรูทีนของ “นักร้อง” อย่างเรืองไกร ศรีสุวรรณ

ทั้งที่ประชาธิปไตยต้องตัดสินกันด้วยความนิยมของประชาชน ไม่ใช่แพ้ชนะด้วยการตีความกฎหมาย หลักนิติรัฐ หมายความง่ายๆ ว่ากติกาต้องตรงไปตรงมา และยุติธรรม

การเมืองวันนี้เลยไม่ใช่เรื่องของประชาชน แต่เป็นเรื่องการตีความเสียหมด เป็นโอกาสของนักกฎหมายที่รู้ทาง อย่างไพบูลย์ฟ้องยิ่งลักษณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว

การเมืองควรจะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา เช่นไม่เห็นจะต้องเสียเวลาส่งศาล ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ เป็นหรือไม่เป็น ประยุทธ์ก็มีอำนาจเหนือกติกา เหนือการเลือกตั้ง ประชาชนเห็นกันทั่วไป

แบบเดียวกับกล่าวถวายสัตย์ ประชาชนทั้งประเทศเห็นกันชัดๆ ว่าไม่ครบ ไม่ต้องเถียงหรอกว่าผิดไม่ผิด แค่ยอมรับและหาทางแก้ไขเสียก็จบ แต่กลับทำให้ยาวไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน