พิษร้ายตัวจริง ไม่ใช่แค่บริวาร
รายงานการเมือง
ถึงแม้รัฐบาลภายใต้การกุมบังเหียนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมจะผ่านด่าน
การอภิปรายในสภากรณีปมถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ และการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญประเด็นคุณสมบัติเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปได้ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมใหญ่ภาคอีสานคลี่คลายลงหลังประสบวิกฤตนานเกือบ 2 เดือน
ในจังหวะการเมืองเข้าสู่ช่วงปิดสมัยประชุมสภาไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน
แต่อุณหภูมิการเมืองไม่ได้ลดลงเหมือนสภาพอากาศ ยังรักษาระดับร้อนแรงต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเด็นติดพันมาตั้งแต่ช่วงก่อนสภาปิดสมัยประชุม ไม่ว่ากรณีถวายสัตย์ฯ ที่รัฐบาลตอบคำถามชี้แจงในสภาได้ไม่เคลียร์
เป็นเหตุให้ฝ่ายค้านค้างคาใจ เตรียมลุยต่อดาบสอง ดาบสาม
ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญเข้าชื่อยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.
ให้พิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะเห็นว่ากรณีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน
เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
7 พรรคฝ่ายค้านยังจะพิจารณาว่า นอกจากกรณีถวายสัตย์ฯ อาจกล่าวหาในประเด็นอื่นอีก เช่น เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต การทุจริตคอร์รัปชั่น
การแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมมาเป็นรัฐมนตรี อย่างที่บางคนตกเป็นข่าวอื้อฉาวทั้งในสื่อเก่าและสื่อใหม่เมื่อช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อน
ส่วนดาบสาม เป็นมาตรการยาแรง คือเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฝ่ายค้านยังมีภารกิจใหญ่คั่นเวลา คือการอภิปรายชำแหละร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าววันที่ 18 ตุลาคม
สำหรับจำนวนวันอภิปราย เบื้องต้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภากำหนดไว้ 2 วัน แต่ถ้าไม่จบก็ขอต่อเวลาได้ โดยไม่กำหนดล่วงหน้าว่าจะยืดได้กี่วัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเนื้อหาอภิปรายต้องไม่ซ้ำซาก วกวน น่ารำคาญ
มองจากมุมนี้ เท่ากับว่าช่วงสภาปิดเทอมนานเดือนเศษ
เป็นเวลาดีของพรรคฝ่ายค้านในการ “ลับมีด” เตรียมชำแหละร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตลอดจนรวบรวมข้อมูลสำหรับยื่นญัตติไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาหน้า
ตามที่มีกระแสข่าวแกนนำฝ่ายค้านบางคน จองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปหาข้อมูลหลักฐานบางอย่างที่ออสเตรเลีย
ยังมีเวลาทุ่มเทให้กับเวทีสัญจร 4 ภาค ปลุกกระแสประชาชนทั่วประเทศ ตระเวนพบปะสื่อมวลชน หาแนวร่วม ปรับจูนแนวทางผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
อันเป็นเป้าหมายสูงสุดร่วมกันของ 7 พรรคอีกด้วย
ในทางตรงข้าม เป็นรัฐบาลที่ดูเหมือนไม่ได้ประโยชน์จากช่วงสภาปิดสมัยประชุมเท่าใดนัก แทนที่จะได้หยุดพักหายใจหายคอจากการเมืองรุมเร้า กลับยังต้องเผชิญกับกระแส “ขาลง” ต่อเนื่อง
ตลอดทั้งสัปดาห์ 21-27 กันยายนที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นำคณะเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 74 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
โชว์วิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาว่า รัฐบาลของตนเองได้วางรากฐานด้านต่างๆ และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องและความเหลื่อมล้ำในสังคม
ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนเพิ่มขึ้น
ด้านสังคม รัฐบาลประกาศต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระ แห่งชาติ กำกับดูแลปัญหาจัดการปัญหาประมงผิดกฎหมาย
ด้านการเมือง รัฐบาลได้ปฏิบัติตามโรดแม็ปอย่างครบถ้วน ต่อจากนี้ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
โดยมีเป้าหมายทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2579 หรือในอีก 17 ปีข้างหน้า มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมที่เป็นธรรม และเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน
แต่ที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ข้ามทวีปมาถึงเมืองไทย
กรณี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงบนเวทีประชุมยูเอ็นให้ผู้นำทั่วโลกรับฟัง ถึงความสำเร็จของประเทศไทยภายใต้รัฐบาลของตนเอง
ที่สามารถดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ครอบคลุมประชากรเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งยังระบุความสำเร็จการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียม ประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วม โดยประเทศไทยยินดีเป็นต้นแบบ แบ่งปันความรู้ให้ทั่วโลกนำไปปฏิบัติ
พรรคเพื่อไทยซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพรรคไทยรักไทยเป็นหัวหอกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ถึงพริกถึงขิง
เนื่องจากโครงการ 30 บาทที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำไปอวดเป็นผลงานบนเวทียูเอ็น แท้จริงแล้วคือแนวคิดบุกเบิกของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตกลุ่มแพทย์ชนบท และนักกิจกรรมยุค 6 ตุลา
ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย รับไปดำเนินการปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ประชาชนจำไม่ลืมถึงทุกวันนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง นายกฯ และรมว.สาธารณสุขคนปัจจุบัน ยังยอมรับอดีตนายกฯ ทักษิณ คือ ผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว เป็นคุณูปการที่ได้ทำให้กับประเทศไทยซึ่งไม่มีใครลืมได้
ไม่แต่เฉพาะโครงการ 30 บาท ยังมีอีกหลายเรื่องที่ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของพล.อ.ประยุทธ์ ที่สหรัฐ
ไม่ว่าการพูดถึงการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วม จ.อุบลราชธานี และการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้คนไทยในสหรัฐได้รับฟัง ตอนหนึ่ง
“รัฐบาลก็เตรียมที่พักพิงให้กับเขา มีห้องแอร์ให้อยู่ก็ไม่ไป ชอบอยู่บนถนน เพราะคนผ่านไปผ่านมาเยอะดี มีคนมาเยี่ยมบ่อย นี่แหละคนไทย คิดอย่างนี้ ผมไม่ว่าอะไรเขา ลงไปก็ไม่เคยไปสั่งรื้ออะไรทั้งสิ้น”
หรือการกล่าวบนเวทีเอเชียโซไซตี้ ทิ้งทวนที่สหรัฐก่อนบินกลับไทย สั่งสอนประชาชนเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์กูเกิ้ล (Google)
“พวกเรานักบริหารจะเปิดกูเกิ้ลเป็น ส่วนใหญ่ ประชาชนจะไม่ค่อยเปิด นั่นแหละทำให้ปัญหามันเกิดขึ้น เพราะเขาไม่เรียนรู้ไง”
คำพูดของนายกฯ มีคนไม่เห็นด้วยจำนวนมาก ในโลกโซเชี่ยลนำเรื่องนี้มาล้อเลียนกันสนุกสนาน
ในทวิตเตอร์มีผู้ใช้แฮชแท็ก #PrayuthGetOut กับ #นายกกูเกิ้ล จำนวนมาก เป็นแฮชแท็กยอดนิยมชั่วข้ามคืน
ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาล มีศึกใหญ่ต้องเผชิญหน้าดุเดือดกับฝ่ายค้านในสภาพเสียงปริ่มน้ำ เป็นสถานการณ์หืดจับอยู่แล้ว
แทนที่ผู้นำรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นตัวหลัก กอบกู้ความเชื่อมั่นศรัทธาประชาชน เป็นกำลังหลักประคับประคองเรือเหล็กไปให้ถึงฝั่ง
แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลแสดงออกแต่ละครั้งแต่ละเรื่อง ล้วนซ้ำเติมให้สถานการณ์ของรัฐบาลย่ำแย่ลง
ก่อนหน้านี้มีหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอิสระสวมวิญญาณโหรการเมือง
ทำนายรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ไม่ได้นานเพราะ “บริวารเป็นพิษ”
มาถึงตอนนี้ด้วยพฤติกรรม กิริยาท่าทางการแสดงออก และอะไรอีกหลายๆ อย่าง เป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่ “เป็นพิษ” นั้น
ไม่ได้เกิดจากบริวารนายกฯ อย่างเดียว เสียแล้ว