FootNote:ปฏิบัติการของกอ.รมน.ภาค 4 กระทบประยุทธ์กับประชาธิปัตย์
ยิ่ง กอ.รมน. แสดงบทบาทในการต้านการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มากเพียงใด จะส่งผลสะเทือนไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากเพียงนั้น
ไม่ว่าจะโดยการหนุนหลังปฏิบัติการ IO ในแบบที่มีคนของตนไปเดินสายยกป้าย
ไม่ว่าจะโดยการสั่งการผ่านเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ให้สกัดขัด ขวางการเคลื่อนไหวในแบบจินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ และโดยการไปร้องทุกข์ แจ้งความ กล่าวโทษ
โดยอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาเป็นอาวุธ
พรรคร่วมรัฐบาลที่จะมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนี่คือภาระธุระที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องแบกรับ
จำสถานการณ์ก่อนวันที่ 5 มิถุนายนได้หรือไม่
ก่อนวันที่ 5 มิถุนายนมีการเจรจาเพื่อหาทางดึง 53 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ให้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
เงื่อนไขหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ต่อรองในการเข้าร่วมรัฐ บาลคือเงื่อนไขในการแก้ไขเพิ่มเติม”รัฐธรรมนูญ”
ต่อเมื่อได้ยินเสียงโอเคดังผ่านพรรคพลังประชารัฐ
การประชุมรัฐสภาในวันที่ 5 มิถุนายนจึงได้เกิดเสียงขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก 52 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะขาดก็เพียง นายชวน หลีกภัย ซึ่งอยู่บนบัลลังก์ประธานเท่านั้น
ปัจจัยนี้เองที่นำไปสู่การกำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 12 นโยบาย”เร่งด่วน”ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม
กลายเป็น “คำมั่น” กลายเป็น”สัญญา” ที่รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ ให้ไว้กับประชาชน
มาถึงเดือนตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงยังจำได้
บทบาทของ กอ.รมน.โดย กอ.รมน.ภาค 4 เด่นชัดยิ่งว่ากำลังปฏิบัติการอันขัดต่อ”นโยบาย”ของรัฐบาล
ไม่ว่าโดยทางตรง ไม่ว่าโดยทางอ้อม
ปฏิบัติการเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจาก”หยิกเล็บย่อมเจ็บเนื้อ” เมื่อไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ย่อมสร้างความหงุดหงิดให้ กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์
เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันและเป็นพรรคที่ยึดวินัย