ตัดสิทธิ์พ้นส.ส. แค่สัญญาณแรก : รายงาน

ตัดสิทธิ์พ้นส.ส. – มาพร้อมแผ่นดินไหว 6.4 แมกนิจูด ศูนย์กลางแขวงไซยะบุรี สปป.ลาว รู้สึกได้ในหลายจังหวัดของไทยลามถึงกรุงเทพฯ หนึ่งวันหลังการเมืองไทยเกิดแรงสั่นสะเทือน จุดศูนย์กลางพรรคอนาคตใหม่

กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยให้สมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) กรณีถือครอง“หุ้นสื่อ”บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด มีผลนับตั้งแต่ 23 พ.ค.2562 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ระหว่างพิจารณาคดี

การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ น้ำหนักในข้อสันนิษฐานมากกว่าข้อเท็จจริง อย่างที่นายธนาธร ให้สัมภาษณ์สื่อหลังสถานะเปลี่ยนเป็นอดีตส.ส.หรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนพิจารณาได้เองจากคำ วินิจฉัยศาลฯ ที่สื่อนำมาถ่ายทอดละเอียดทุกถ้อยคำ

วันตัดสินคดี นอกจากแฟนคลับ “พรรคส้ม” ที่แห่แหนไปให้กำลังใจ สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมาก ต่างสนใจเกาะติดทำข่าวรายงานสถานการณ์กันนาทีต่อนาทีตั้งแต่ก่อน ระหว่างและหลังการอ่านคำตัดสิน

ยังมีตัวแทนสหภาพยุโรป ตัวแทนสถานทูตต่างๆ ประจำประเทศไทย ไม่ว่าตัวแทนสถานทูตสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวีเดน และเบลเยียม เดินทางมาร่วมรับฟังคำวินิจฉัยครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

ที่มาแรงคือแถลงการณ์องค์กรสมาชิกรัฐสภา อาเซียน ที่แสดงความผิดหวังต่อ คําตัดสิน เรียกร้องให้หยุดนํากฎหมายมาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทย

ทั้งระบุตอนหนึ่งด้วยว่า การตัดสินเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งในปีนี้ ผู้มีอํานาจของไทยก็ยังไม่พร้อมจะมีประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเป็นอิสระ

คดีนี้ควรได้รับการพิจารณาจากบริบทที่กว้าง กว่า ที่สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคอนาคตใหม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยสถาบันที่ว่ากันว่าเป็น อิสระ

สัญญาณทุกอย่างบ่งชี้ว่านี่คือความพยายาม ของหลายฝ่าย ในการปิดปากพรรคการเมืองที่สั่นคลอนสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากพรรคพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พรรคอนาคตใหม่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นลําดับที่สามในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้ 80 ที่นั่งในรัฐสภา ในฐานะฝ่ายค้านพรรคได้ตั้ง คําถามอย่างสม่ำเสมอต่อบทบาทของทหารในการเมืองไทย ทำให้ปัจจุบันพรรคอนาคตใหม่ถูกฟ้องกว่า 27 คดี

หนึ่งในคดีเหล่านี้อาจนําไปสู่การยุบพรรค

นักการเมืองฝ่ายค้านและนักวิชาการหลายคนมองว่า

คำวินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นจากสภาพการเป็นส.ส. ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็ไม่ดุเดือดร้อนแรง

เนื่องจากนายธนาธร ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

อีกทั้งนับตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2562 การที่นายธนาธร ถูกศาลสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ก็เท่ากับว่าตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายค้านมี 1 เสียงในสภาถูกแช่แข็ง ดังนั้น การที่ศาลฯ สั่งให้นายธนาธรพ้นจากการเป็นส.ส. แล้วให้เลื่อนส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับถัดไปของพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาแทนคือ นายมานพ คีรีภูวดล เท่ากับว่าฝ่ายค้านได้เสียงส.ส.ที่ทำงานได้ เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เสียง

นอกจากนี้ นายธนาธรยังสามารถทำหน้าที่กรรมา ธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ในโควตาคนนอกต่อไปได้ อาจรวมถึงกมธ.วิสามัญคณะอื่นๆ ได้อีกในอนาคตหากพรรคเสนอ

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ถึงนายธนาธรจะถูกตัดสิทธิ์เป็นส.ส. แต่ก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อไหร่ที่มีการลงมติเลือกนายกฯ นายธนาธรก็ยังมีสิทธิได้รับเลือก

“นายธนาธรไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงปลายเดือนธันวาคม นี้ ซึ่งนายธนาธรเป็นตัวหลักในการเตรียมข้อมูลการอภิปราย”

กระทั่งตัวนายธนาธรเอง อาจเป็นเพราะคาดเดาผลล่วงหน้าได้ จึงไม่ออกอาการฟูมฟายเกินกว่าเหตุ ยืนยันยังทำงานในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินหน้ารณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลักดันพ.ร.บ.การเกณฑ์ทหารต่อไป

การไม่มีตำแหน่งส.ส. ทำให้นายธนาธร หลุดพ้นขีดจำกัดในการแสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเครือข่ายผู้มีอำนาจทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการ เลือกตั้งและกองทัพอย่างถึงพริกถึงขิง

“ผมไม่สนใจอายุขัยของผม ผมไม่สนว่าผมจะจบลงด้วยแบบไหน ต่อให้การยืนยันออกมาพูดความจริงแบบนี้ผมจะต้องจบชีวิตในคุกในตะราง แต่ผมก็ภูมิใจว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยให้ประชาชน เท่าเทียมกันส่งต่อลูกหลานต่อไป ผมภูมิใจที่ยืนหยัดต่อสู้สิ่งที่ถูกต้อง แม้จะจบไม่สวย”

“แต่ผมไม่ไปเลียบู๊ตทหารแน่” นายธนาธรกล่าว

จากคดีหุ้นสื่อที่ส่งผลให้นายธนาธร ต้องพ้นส.ส.

ในมุมกลับกันก็ทำให้สังคมเริ่มส่งเสียงทวง ถามถึงคําร้องของพรรคอนาคตใหม่ ต่อสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ รวม 41 คน ซึ่งครอบครอง“หุ้นสื่อ” เช่นกัน

ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเรื่องนี้ไว้เมื่อ วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่มีคำสั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่เหมือนกรณีนายธนาธร ถึงตอนนี้ผ่านไปแล้ว 5 เดือน ยังไร้วี่แววว่าจะมีการนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีเมื่อใด

ล่าสุดกรณีหุ้น “มาดามเดียร์” อนาคตใหม่หยิบยกขึ้นมาเป็นปมย้อนศรพลังประชารัฐ

อย่างไรก็ตาม การที่นายธนาธร ประกาศดับเครื่องชนผู้มีอำนาจและกองทัพ แทนที่จะยอมหมอบราบคาบแก้วหลังโดนดาบแรกตัดสิทธิ์พ้นส.ส.

ทำให้ต้องจับตาดาบสอง ดาบสามต่อเนื่องตามมา

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.ให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพส.ส.ของนายธนาธร สิ้นสุดลงกรณีถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ ว่า ตามหลักการคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต. ต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปพิจารณาประกอบในสำนวนสอบสวน

กรณีคำร้องกล่าวหา นายธนาธร ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)

เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธรขาดคุณสมบัติ

ซึ่งมาตรา 151 ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ระบุ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธ์ิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อ สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ

ต้องระวางโทษจําคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี

ยังมีคดีปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 119 ล้านบาท ที่กกต.กำลังเร่งรัด รวมถึงคดีล้มล้างการปกครอง หรือคดีอิลลูมินาติ และคดีอื่นๆ ที่เหลืออีกราว 24 คดี โดยไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้ยังจะโดนเพิ่มอีกหรือไม่ อย่างเช่น หมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงไม่แปลกที่กระแส“ยุบ”พรรคอนาคตใหม่ที่ฟุ้งกระจายมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค. เริ่มจับตัวหนาทึบ

จนแทบมองไม่เห็นหนทางรอด

แต่มองอีกด้าน ต้องระวังว่า จะยิ่งเร่งเร้าให้สถานการณ์บ้านเมืองโดยรวมเข้าสู่จุดอันตรายมากขึ้นหรือไม่

น3-24พย62.tif

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน