วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น
วันรัฐธรรมนูญ10ธันวาคม – วันรัฐธรรมนูญ เริ่มขึ้นอย่างไร หมายถึงที่มาของวันนี้
เดือนเสี้ยว
ตอบ เดือนเสี้ยว
คำตอบอยู่ในบทความเรื่อง “10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ กับพระราชหฤทัย ร.7 จากฉบับชั่วคราวถึงฉบับถาวร” โดย เมฆา วิรุฬหก เผยแพร่ในเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม www.silpa-mag.com/ ดังนี้
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 กลุ่มคณะราษฎรได้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ ทำให้สยามมีระบอบรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พวกเขาร่างขึ้นจะมีอายุสั้น เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงเพิ่มคำว่า “ชั่วคราว” ลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จึงต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรียกกันต่อมาว่า “ฉบับถาวร” อันประกาศใช้ในวันที่ 10 ธันวาคม ปีเดียวกัน
เรื่องนี้ ดร.ภูริ ฟูวงศ์เจริญ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค้นคว้าถึงเบื้องหลังความเป็นมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไปจนถึงการ “พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร” ของรัชกาลที่ 7
เริ่มต้นตั้งแต่การที่ทรงใส่คำว่า “ชั่วคราว” ในรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร ดร.ภูริชี้ว่า เป็นผลมาจากความไม่พอพระราชหฤทัยดังที่ได้ทรงเปิดเผยในคราวสละราชสมบัติว่า “ครั้นเมื่อ” ได้เห็นรัฐธรรมนูญฉะบับแรกที่หลวงประดิษฐฯ ได้ทำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการฯ กับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว
แต่เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้นมา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งคณะราษฎรเลือกให้เป็นผู้นำระบอบใหม่ และยังเป็นประธานของอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย ได้กลายเป็นผู้ประสานงานกับรัชกาลที่ 7 อย่างใกล้ชิด และทำให้พระองค์พอพระราชหฤทัยได้
ดังที่ ดร.ภูริ กล่าวว่า “พระยามโนปกรณ์นิติธาดาติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างสม่ำเสมอ เฝ้าปรึกษาหารือ และมักดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชประสงค์ นับตั้งแต่เรื่องใหญ่โตอย่างการให้เจ้านายอยู่เหนือการเมือง ไปจนถึงเรื่องปลีกย่อยอย่างการเลือกใช้คำ
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกเมื่อเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะเอนเอียงไปในทางอนุรักษนิยม ซึ่งนี่ส่งผลให้รัชกาลที่ 7 ทรงแสดงท่าทีเชิงบวกอย่างเด่นชัด
ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ทรงเป็นผู้เสนอให้ใช้พระที่นั่ง อนันตสมาคม และให้เชิญคณะทูตานุทูตเข้าร่วมชมพระราชพิธี ทั้งยังให้โหรหลวงประจำราชสำนักไปหา “ฤกษ์สำหรับพระราชทานรัฐธรรมนูญ” ด้วย
การที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการเขียนลงบนสมุดไทยด้วย ก็เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระองค์เอง ดังที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาชี้แจงว่า “โดยที่ทรงเห็นว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ และเป็นของที่ควรจะขลัง เพราะฉะนั้นต้องการเขียนลงใส่สมุดไทย”
เมื่อมี “เส้นตาย” ตามฤกษ์ ที่กำหนดไว้แล้ว และยังต้องจารึกลงสมุดไทยซึ่งต้องใช้เวลานาน ทำให้พระยามโนปกรณ์ นิติธาดาต้องเร่งรัดสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาจนเสร็จสิ้น “รีบปรึกษาเสียแต่เช้าไปตลอดวัน และถ้าสามารถก็จะให้จนถึงกลางคืนด้วย” สิ่งสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งคือ การร่างคำประกาศที่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีความตอนหนึ่งบอกถึงเรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญว่า “ข้าราชการทหารพลเรือนและอาณาประชาราษฎรของพระองค์ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากรุณา ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ” เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาแล้วว่า หลังราชวงศ์จักรีได้บริหารบ้านเมืองมายาวนาน “ประชาชนชาวสยามได้รับพระบรมราชบริหารในวิถีความเจริญนานาประการโดยลำดับ จนบัดนี้มีการศึกษาสูงขึ้นแล้ว มีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลโนบาย”
สมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยาม ดังนั้น จึ่งทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามตามความประสงค์
ซึ่งตรงนี้ ดร.ภูริกล่าวว่า ผู้ร่างคำประกาศดังกล่าว คือ พระสารประเสริฐ ร่างขึ้นตามแนวทางอนุรักษนิยม ให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้มีพระบรมราชวินิจฉัยพระราชทานกำเนิดรัฐธรรมนูญตามคำกราบบังคมทูลของประชาชน มีการเน้นย้ำเรื่องความราบรื่น แต่ไม่มีการพูดถึง คณะราษฎร หรือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 แต่อย่างใด “รัฐธรรมนูญจึงถือกำเนิดขึ้นจากการพระราชทานตามคำกราบบังคมทูล หาใช่จากการยึดอำนาจ หรือการปฏิวัติ”
ส่วนรูปแบบพระราชพิธี ดร.ภูริชี้ว่า “ถูกออกแบบมาด้วยความระมัดระวังช่วยให้พระมหากษัตริย์ครองสถานะเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับถาวร กฎหมายสูงสุดเป็นของพระราชทานจากเบื้องบนจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หาใช่คณะราษฎร”