ฉายหนังม้วนเก่า จบไม่เหมือนเดิม?

ฉายหนังม้วนเก่า จบไม่เหมือนเดิม? – “นี่คือเวลาที่เราจะต้องส่งเสียงของประชาชนให้ดัง นี่คือเวลาที่เราจะต้องส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจได้ยิน ถ้าท่านเห็นด้วยกับผมว่าเวลานี้ประชาชนต้องลุกขึ้นสู้ จะต้องลุกขึ้นทวงคืนความชอบธรรม ทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมา เจอกัน”

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ป่าวประกาศเชิญชวนประชาชนมาร่วมชุมชุมบริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา

ส่งสัญญาณอุณหภูมิการเมืองปรับตัวสูงทันที

หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย “ยุบพรรคอนาคตใหม่” กรณีกู้ยืมเงินนายธนาธร จำนวน 191,200,000 บาท อันเชื่อได้ว่าเป็นการรับบริจาคเงินโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ตามมาตรา 72 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรค การเมือง ห้ามมิให้พรรคการเมืองและ ผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมือง รับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

อันเป็นเหตุต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง อันจะนำไปสู่การตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี และเอาผิดคดีอาญา โทษจําคุก

มติ กกต.ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงในสังคม หลายคนสงสัยทำไมการกู้เงิน ถึงถูกตีความให้เป็นการรับเงินบริจาค ซึ่งแตกต่างกัน เพราะ เงินบริจาคให้แล้วให้เลยไม่ได้กลับคืน แต่เงินกู้ เจ้าหนี้จะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ตามที่ตกลงทำสัญญากันไว้

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯอนาคตใหม่ แถลงตั้งข้อสงสัยต่อการทำงาน การใช้ดุลพินิจและการใช้กฎหมายของ กกต.ว่า มีวัตถุประสงค์เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่

เนื่องจากเร่งรัดจนผิดสังเกต ไม่แจ้งข้อกล่าวหา ไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหาไปสอบสวน อีกทั้งมีเอกสารหลุดออกมา เผยแพร่ลงในสื่อหลายฉบับเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. เกี่ยวกับแนวทางการลงมติ ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นจริงตามนั้น

“หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ กำลังจะเดินกล้อง เดินเรื่อง แต่ยืนยันว่าหนังม้วนนี้จบไม่เหมือนเดิมแน่นอน”

นายปิยบุตร ยังตั้งคำถามกลับไปยังกกต.ว่า เงินที่พรรคได้จากการกู้หัวหน้าพรรค ไม่ชอบด้วยกฎหมายตรงไหน

ซึ่งกกต.ไม่มีคำตอบ ไม่อธิบาย บอกเพียงว่า ข้อเท็จจริงยุติแล้ว มีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว

สุดท้ายจะอย่างไรศาลจะเป็นผู้พิจารณาเอง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นตอนหนึ่งว่า

หากพิจารณาสาระในมาตรา 72 กฎหมายพรรคการเมือง จะอยู่ตรงเงินบริจาคที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เป็นการห้าม “เงินสกปรก” เข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง เช่น เงินบ่อน เงินซ่อง เงินค้าอาวุธสงคราม เงินค้าของหนีภาษี ฯลฯ ไม่ว่าบริจาคกี่บาทก็ตาม ถือว่าห้ามรับ เพราะเป็นการเอาเงินธุรกิจสีเทามา สนับสนุนการเมือง

คำถามคือ กกต.แน่ใจแล้วหรือที่ใช้มาตรานี้จัดการกับพรรคอนาคตใหม่ รู้แล้วใช่ไหมว่าเงินที่มาให้กู้ เป็นเงินสกปรก ความหนาวจึงมาเยือนกกต.เสียงข้างมาก หากมีการร้องกลับว่า กกต.วินิจฉัยโดยมิชอบ

น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษา ศาลฎีกาและอดีตป.ป.ช. แสดงความรู้สึกแปลกใจ

ทำไม กกต.ไม่ไต่สวนและให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาสู้คดีอย่างเต็มที่ เพราะในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าศาล หรือป.ป.ช. มีหลักในการพิจารณาคดีว่าทุกคดีต้องมีการไต่สวน สืบพยานและรับฟังผู้ถูกกล่าวหาก่อนเสมอ

ต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ทั้งปวง ไม่พิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการ กระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

เพราะการยุบพรรคถึงไม่ใช่โทษทางอาญา แต่มีโทษกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นโทษรุนแรงเหมือนถูกประหารชีวิตทางการเมือง ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาอย่างมาก ให้มีโอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่

จึงรู้สึกแปลกใจ ทำไม กกต.สรุปสำนวนโดยฟังแต่ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานที่กกต.มี โดยไม่ให้โอกาสจำเลยสืบพยาน ถึงเกิดคำถามขึ้นว่า กกต.มีกฎหมายอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ

อย่างไรก็ตาม กกต.ระบุถึงการลงมติโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงก่อน เป็นการ ใช้อำนาจ กกต.ตามมาตรา 93 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่เปิดช่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นพร้อมรวบรวมข้อเท็จจริงและพยาน หลักฐานส่ง กกต.พิจารณาได้เลย

ชะตากรรมพรรคอนาคตใหม่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ได้รับความเห็นใจจากพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ที่ให้กำลังใจ พร้อมช่วยเหลือต่อสู้คดี เพราะเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ควรถูกยุบ จากการกระทำโดยเปิดเผยบนโต๊ะ

แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นคู่ต่อสู้กันในทางการเมือง

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคโพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ให้กำลังใจ เชื่อว่าทุกคะแนนที่พรรคอนาคตใหม่ได้มา เป็นเพราะประชาชนเชื่อมั่นศรัทธาในแนวทางของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้มาด้วยการซื้อเสียง ผลออกมาอย่างไร ถือว่าได้สู้สมศักดิ์ศรี

ก่อนหน้านี้กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ยุบพรรคตัวเองย้ายเข้าไปเติมเสียงให้พรรค พลังประชารัฐ ทั้งที่ยังมีข้อสงสัยในกฎหมายว่าทำได้หรือไม่

ตอนนั้นแกนนำพรรคเพื่อไทยเปิดประเด็น ห่วงว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้กรณีนายไพบูลย์ เป็นโมเดลนำร่องกับพรรคเล็กอื่นๆ

รวมถึงในบางแง่มุมข้อกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบถึงพรรคอนาคตใหม่ ที่มีส.ส.สองระบบ 81 คน แยกเป็นแบบเขต 31 คน บัญชีรายชื่อ 50 คน ซึ่งเป็นเป้าหมายโจมตีทำลายของฝ่ายตรงข้ามมาตลอดตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.

นั่นเพราะว่าหากพรรคอนาคตใหม่ ถูกยุบ คะแนนส.ส.บัญชีรายชื่ออาจถูกนำมาคำนวณใหม่และทำให้บางพรรคได้ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 40 คน

นอกจากนี้ หากถึงที่สุดมีการตีความในภายหลังว่านายไพบูลย์ ต้องหลุดจากส.ส.เพราะยุบพรรค ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าจะเป็นการเอากรณีนายไพบูลย์ 1 คน ไปแลกกับอีก 50 คนของอนาคตใหม่หรือไม่

และยังเป็นไปได้ว่า หากอนาคตใหม่ถูกยุบ ส.ส.ต้องเร่งหาพรรคสังกัดใหม่ใน 60 วัน จังหวะนั้นจะมีการตามไล่ช้อนซื้อตัวส.ส.เพื่อแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ

กระบวนการยุบอนาคตใหม่รุดหน้ารวดเร็ว ล่าสุดบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต. นำสำนวนคำร้องขอให้วินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อย

ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามวาระปกติสัปดาห์หน้า วันพุธที่ 18 ธ.ค. จึงต้องจับตาดูกันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนำคำร้องของ กกต.ดังกล่าว เข้าพิจารณาทันในวันนั้นหรือไม่

ท่ามกลางสายตาคนเป็นห่วงขบวนการขุดรากถอนโคนพรรคอนาคตใหม่ อาจไม่ต่างจากการส่งการ์ดเชิญ เป็นแนวร่วมมุมกลับ ช่วยเรียกคนเข้าร่วมกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” 12 ม.ค.ปีหน้าโดยไม่รู้ตัวหรือไม่

สอดรับสถานการณ์ในห้วง 13-14 ปีที่ผ่านมา

การทำหน้าที่ขององค์กรอิสระคือส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นวิกฤตการณ์การเมืองไทย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน