ปาร์ตี้จริยธรรม?

คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ปาร์ตี้จริยธรรม? – ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบไม่แน่ใจว่ามีปาร์ตี้สังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาลไหม แต่พลเอกเปรมน่าจะไม่เคยไป เพราะไม่ใช่นายกฯ ของพรรคใดพรรคหนึ่ง

พลเอกเปรมไม่เกี่ยวข้องกับพรรคไหน หาเสียงเลือกตั้งใครจะดูด ส.ส. นักการเมืองย้ายขั้วย้ายข้าง ก็ช่างปะไร ขออย่างเดียว ฝ่ายค้านอย่าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ บิ๊กเสื้อคับจะเคลียร์ให้ทันที

นั่นคือวิถีอนุรักษนิยมในอดีต ซึ่งไม่ใช่ไม่รู้นะ นักการเมืองหาเสียงอย่างไร แต่รู้จักวางตัวให้สังคมยกย่องสัตย์ซื่อสมถะ แล้วไปด่านักการเมืองเป็นผู้ร้าย

ตัดฉับมาที่ผู้นำประชาธิปไตยเทียม จัดปาร์ตี้แดนซ์กระจาย ปรบมือต้อนรับ ส.ส.ที่พรรคเดิมขับออก แล้วย้ายมาอยู่ฝ่ายรัฐบาล ทั้งที่ประชาชน 7.5 หมื่นเสียงเลือกไปต้านรัฐประหารสืบทอดอำนาจ

ไม่ยักกระมิดกระเมี้ยน ไม่แคร์สังคมวิพากษ์วิจารณ์ “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” กับดาวสภาฟาร์มไก่

พูดอย่างนี้ไม่ใช่จ้องจับผิดเรื่องเล็กน้อย แต่มันเป็นภาพสะท้อน ยุคอัสดงของอำนาจอนุรักษนิยมที่อ้างศีลธรรมจริยธรรม

อำนาจอนุรักษนิยมอ้างความดีมีศีลธรรมของตัวบุคคล ของผู้ที่มาจากการแต่งตั้ง ข้าราชการ ทหาร ศาล ทำลายอำนาจจากการเลือกตั้งของประชาชนมาทุกยุคทุกสมัย โดยอาศัยการประณามนักการเมืองชั่ว เลว โกง ซื้อเสียง ขายตัว ฯลฯ ทำรัฐประหาร วางกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวครึ่งใบ เดี๋ยวค่อนใบ กั๊กอำนาจไว้ที่วุฒิสภา ตอนหลังมาก็ใช้องค์กรอิสระ “มหาเทพ” ใช้อำนาจวินิจฉัย ข้อห้ามข้อบังคับที่เคร่งครัดขรึมขลัง กระทั่งทำกับข้าวออกทีวีก็ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้

อำนาจปืนอำนาจกฎหมายไม่ได้ใช้เหตุผล แต่ใช้ความเชื่อของสังคม โดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมือง “นักการเมืองเลว” ใช้วิธีอะไรก็ได้กำจัดมัน

แต่การเมืองหลังเลือกตั้ง 2562 เปลี่ยนไปสิ้นเชิง เมื่อมีการสืบทอดอำนาจรัฐประหารผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 มีการจัดตั้งพรรคดูดนักการเมืองสารพัดที่เคยถูกประณามเมื่ออยู่ขั้วตรงข้าม เคยถูกคนชั้นกลางร้องยี้ บ้างก็ติดคดีเป็นชนัก ไม่เพียงมาเป็นฐานอำนาจ หากยังร่วมเสวยอำนาจ แถมลอยหน้าลอยตาเป็นองครักษ์

ทั้งที่เคยเป็นองครักษ์พิทักษ์ทักษิณกันมาทั้งนั้น

อำนาจศีลธรรมที่ใช้อ้างเพื่อตั้งพวกพ้อง เช่นตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง เพื่อให้คนดีมีอำนาจปกครองบ้านเมืองต่อไปก็กลายเป็นฐานให้นักการเมืองทั้งโขยงได้ร่วมเสวยอำนาจอิ่มหมีพีมัน กระทั่งมีกล้วยเหลือเฟือ เลี้ยงได้ทั้งงูเห่าและลิง

ทั้งยังโอบอุ้มคุ้มครองด้วยอำนาจสองมาตรฐาน ทำอะไรก็ไม่ผิด ชาวบ้านผิด หรืออยู่กับทักษิณผิด แต่รับใช้รัฐประหารแล้วล้างมลทิน

เครื่องมืออย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ คือปลุกความเกลียดชัง เข้าใส่พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ โดยตั้งข้อหา “ชังชาติ” มาสเตอร์ไมด์

รวมทั้ง “ล่าแม่มด” ปกป้องความรักเทิดทูนความดีงาม ด้วยอาการโหดร้ายคลุ้มคลั่ง

กระทั่งประชาชนเบื่อหน่ายผู้นำที่แก้ปัญหาไม่ได้ จะไป“วิ่งไล่ลุง” ก็หาว่าเป็น proxy crisis ต่อสู้รัฐ

แต่การจ้องทำลายพรรคอนาคตใหม่ ก็กลายเป็นปรากฏการณ์ย้อนแย้งน่าขัน เพราะอำนาจอนุรักษนิยมทำมาหากินกับการปลุกความเกลียดชังนักการเมืองโกง ซื้อเสียง มาทุกยุคสมัย แต่พรรคการเมืองอนุรักษนิยมไม่เคยเอาชนะได้ด้วยการหาเสียงอย่างใสสะอาด มีแต่พรรคดัดจริตอ้างว่าแพ้เพราะถูกซื้อ ปรากฏว่าครั้งนี้ พรรคลิเบอรัลที่ประกาศจุดยืนรื้อโครงสร้างอำนาจอนุรักษ์นิยมอย่างถึงราก กลับชนะถล่มทลาย ด้วยการหาเสียงแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ไม่ซื้อเสียง แต่ไม่ใช้หัวคะแนน ไม่พึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ ไม่ต้องหาเสียงงานศพงานบวชเลยด้วยซ้ำ

อำนาจศีลธรรมที่เคยอ้าง lawfare ไล่ล่าทักษิณ ในนามความยุติธรรม จะทำอย่างไร เพราะถ้าทำลายอนาคตใหม่ ก็เท่ากับปกป้องสนับสนุนนักการเมือง ที่กินกล้วยกันเป็นไร่ อย่างสนุกสนาน ไม่แยแสจริยธรรมอันใด

ปรากฏการณ์จากนี้ไปจึงเข้าสู่ภาวะวิบัติ หรือภาวะวิปริต ของอำนาจอนุรักษ์นิยม ที่กำลังล้มละลายทางศีลธรรม

อำนาจอนุรักษ์นิยมไม่เคยใช้เหตุผลเอาชนะ เพียงอ้างศีลธรรมความดีงาม ยกย่องเชิดชูตัวบุคคล รู้จักใช้อำนาจอย่างพอเหมาะ แต่ภาวะจนตรอกจากวิกฤต 13 ปี บังคับให้ต้องถอยไปสุดกู่ ต้องทำทุกอย่างเพื่อครองอำนาจให้ได้ โดยไม่แยแสสนใจจริยธรมอะไรทั้งสิ้น ยิ่งไร้จริยธรรมยิ่งปลุกความเกลียดชังคับแคบ อ้างชาติอ้างแผ่นดิน

ถามจริง ถ้าไปไม่รอด สมมติทำรัฐประหาร ครั้งนี้จะอ้างอะไร อ้างนักการเมืองทุจริตก็ไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันทั้งนั้น อ้างปราบเสี้ยนหนามพวกชังชาติ ก็เป็นแค่ฝ่ายค้านกับประชาชนที่ไม่มีอำนาจ

นี่ไม่ใช่แค่วิกฤตศรัทธา แต่อำนาจอนุรักษนิยมที่เคยใช้ทำรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ มาตลอด 13 ปี จะพังลงทีละกระบิๆ อย่างไม่สามารถเรียกคืนได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน