ทักษิณร่ายบทความ จี้จุดรัฐบาล นโยบายศก.ผิดทิศ เอาใจคนรวยไม่ช่วยคนจน

ทักษิณร่ายบทความ – เมื่อวันที่ 5 ก.พ. เว็บไซต์ ไทยเอ็นไควเรอร์ เผยแพร่บทความความคิดเห็นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หัวข้อ “รัฐบาลต้องแก้ไขเศรษฐกิจและใส่ใจประชาชนมากกว่าคนร่ำรวย”

ข้อเขียนเริ่มเกริ่นว่า ยุคสมัยนี้ ข้อมูลข่าวสารเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจของทุกประเทศ การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบันของไทย ซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดูเหมือนจะต้องการการกระตุ้นอย่างยิ่งยวด

เศรษฐกิจไทยเคยเป็นที่อิจฉาของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ช่วงก่อนนี้ที่ไม่นานเกินไปนักยังอยู่ในเส้นทางไต่ขึ้นและเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของภูมิภาค แต่วันนี้เศรษฐกิจ กลับตามหลังประเทศ อื่นๆ ด้วยอัตราการขยายตัวที่ย่ำแย่ที่สุด และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในเวลาอันใกล้

ทักษิณร่ายบทความ

IG : Thaksin Shinawatra

บรรดาปัญหาทั้งหมดของในระบบเศรษฐกิจ กลับทำให้บางส่วนของสังคมยังคงเดินหน้ารุ่งเรือง และก่อสถานการณ์ที่ส่งผลให้ขยายช่องว่างที่ใหญ่ขึ้น ระหว่างคนมีทรัพย์สินกับผู้มีโอกาสน้อยกว่า คนที่อยู่ส่วนยอดของสังคมยังคงได้รับประโยชน์ทั้งหมดขณะที่คนจำนวนมากยังคงลำบาก ผู้ด้อยโอกาสของประเทศไทยกำลังลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจโลกอย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

เศรษฐกิจโลกยุ่งเหยิงมาหลายครั้ง และทุกครั้งประเทศไทยจัดการหาทางออกได้ บทเรียนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 นั้นเป็นครั้งร้ายแรงที่สุด แต่ก็มีคนบอกว่า เศรษฐกิจปัจจุบันย่ำแย่ที่สุดนับจากวิกฤตครั้งนั้นเสียอีก

สถานการณ์สิ้นหวังในปัจจุบันไม่ใช่เพราะระบบการเงินเผชิญปัญหาเหมือนปี 2540 แต่เพราะระบบการเงินการคลังของไทยแข็งแกร่งมากเกินไป และไม่กล้าพอที่จะหยิบยื่นให้กับฝ่ายที่ต้องการเงินอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าสถานะการเงินของตนเองจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ย่ำแย่ทางเศรษฐกิจ

ช่วงวิกฤตการเงินปี 2540 ธนาคารต่างๆ เผชิญปัญหามากมาย และประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ธนาคารของไทยหวาดกลัวว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะส่งผลกระทบเป็นปัญหาแบบเดิม

ความกลัวดังกล่าวบวกกับความคิดฝังใจที่นิยมเอื้อคนรวย ก่อให้เกิดวงจรที่ผลักประเทศให้ทรุดลงไป ธนาคารในประเทศเราช่วยให้คนรวยอยู่แล้วรวยขึ้นไปอีก และปล่อยให้คนจนอยู่แล้วจนลงไปอีก

ตัวเลขการส่งออก / ธนาคารแห่งประเทศไทย

เป็นที่ข้อเท็จจริงที่รู้กันว่า คนรวยจะรวยขึ้นอีกถ้ารัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาบริหารประเทศ และถ้าใครมองดูกระแสโลกก็จะเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลประชาธิปไตยบริหารประเทศ คนจนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด

สิ่งที่เราเห็นในประเทศไทยวันนี้ คือธนาคารสนับสนุนทุกสรรพกำลังให้แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ให้ใหญ่ขึ้น แต่ประชากรทั่วไปต้องตะเกียกตะกายเพื่อหาเงินทุนจากสถาบันการเงิน

เหนือสิ่งอื่นใดในข้อเท็จจริงก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ทำงานในฐานะหน่วยงานอิสระอย่างที่ควรจะเป็น กลับให้ธนาคารอื่นๆ เสริมสภาพคล่อง ดูเหมือนธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความคิดฝังใจแบบเดียวกัน ทำให้เกิดการสร้างระบบผูกขาดเพื่อให้ช่วยเหลือคนรวยและกลุ่มทุนใหญ่

จากสภาพการณ์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงใช้นโยบายต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องสำหรับประเทศ การใช้นโยบายการเงินแบบ กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ปกติแล้วจะใช้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่กับประเทศกำลังพัฒนาเหมือนกับประเทศไทย แทนที่จะใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมุ่งใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ใช่นโยบายการเงินการคลัง

จีดีพีและการขยายตัวด้านการส่งออก / สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ด้านบีโอไอมีส่วนสร้างสถานการณ์ทำให้เงินบาทไทยแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค ทุกวันนี้เงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคราว 10% และนั่นมีผลกระทบต่อภาคส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของไทย นั่นคือ การท่องเที่ยว และการส่งออก สองส่วนที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเริ่มเดือดร้อน และผลสะท้อนกลับนี้จะเตลิดไปไกลหากไม่แก้ปัญหา

การส่งออกช่วง 5 เดือนหลังมานี้หดตัวลง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่าจะดิ่งลง 0.9-2.4% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 ค่าเงินบาทที่แข็งเช่นนี้ทำให้เงินทุนไหลออกเพิ่มขึ้นและนั่น เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะกับคนรวยเท่านั้น

สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานอิสระจัดการ จึงผลักประเทศไทยออกจากแผนที่โลก หรือที่คนไทยเรียกว่า “ตกขบวน” ถ้าพูดภาษาอังกฤษคือเราพลาดขบวนรถไฟ

โลกทุกวันนี้แตกต่างไปจากที่รัฐบาลปัจจุบันคิด และเป็นเรื่องสำคัญว่าเราทุกคนต้องมีศักยภาพที่จะปรับตัวให้ได้ในโลกของการเปลี่ยนแปลง

ประเทศไทยต้องการผู้นำที่คิดและทำในภูมิทัศน์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่อาจประสบความสำเร็จด้วยคนที่อยู่ในอำนาจขณะนี้

ปัญหาของประเทศไทยก็คือ ทีมเศรษฐกิจปัจจุบันในรัฐบาล เป็นคนที่สนใจเรื่องการตลาดมากกว่าจะมองถึงการปฏิบัติจริงในนโยบายที่รัฐบาลนำมาใช้ อย่างกรณี ชิมช้อปใช้ ที่รัฐบาลประยุทธ์ขับเคลื่อน ทุกคนเห็นได้ว่าเป็นนโยบายกลเม็ดทางการตลาดโดยแท้ การทุ่มเงิน 3 แสนล้านบาทไปกับการนี้จะทำให้ประเทศเดินเข้าสู่ภาวะล้มละลาย

สิ่งที่ต้องการตอนนี้คือแพ็กเกจกระตุ้นให้เกิดการผลักดันเงินเข้าสู่กระเป๋าประชาชน เพื่อใช้จ่ายและเกิดผลกระทบซึมเข้าไปช่วยให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

แต่สิ่งที่ธนาคารต่างๆ ทำอยู่ตอนนี้เหมือนแค่ให้ร่มไป 1 อัน ตอนฝนตกกระหน่ำ ทั้งๆ ที่ต้องการใช้ร่มเป็นพันๆ อัน จนเมื่อถึงวันที่แดดออกแล้ว กลับเพิ่งมาให้ร่มเป็นพันๆ อัน ทั้งที่ไม่มีใครต้องการร่มเลย

วันนี้ ผู้ด้อยโอกาสของไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่จับจ่ายใช้สอยได้น้อยมาก ส่งผลให้การบริโภคลดลง การบริโภคยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลไกทางเศรษฐกิจ และการเติบโตกลไกทางเศรษฐกิจจะมีส่วนช่วยในช่วงเวลาที่การส่งออกชะลอตัวลงเนื่องจากปัจจัยภายนอก

ตอนนี้ ไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัญหามากมาย ประกอบกับการส่งออกที่ชะลอตัว ค่าเงินบาทไทยที่แข็งขึ้น และการบริโภคหดตัวลงอย่างมาก การลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัว หมายความว่านักลงทุนเองก็ไม่มั่นใจเส้นทางเศรษฐกิจในอนาคต

การขาดความเชื่อมั่นและความวางใจไม่เป็นผลดีต่อแบบจำลองเศรษฐกิจทุกรูปแบบ หลักทุนนิยมมีสามสิ่งสำคัญๆ ได้แก่ ความเชื่อมั่น ความวางไว้ และการเก็งกำไร

หากมีความเชื่อมั่นและวางใจแล้ว การลงทุนก็จะหลั่งไหลเข้ามา เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ช่วงเวลานี้ทั้งสององค์ประกอบขาดหายไป จะก่อเกิดการเก็งกำไรขึ้นมา ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แต่ดูเหมือนจะไม่มีความมั่นใจในอนาคตของประเทศไทย และมีเพียงกลุ่มบริษัทไทยเพียงไม่กี่กลุ่มกำลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะความมั่งคั่งของประเทศไม่ควรถูกกำหนดโดยกำมือของกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มใด

กลุ่มเหล่านี้จะมีความสุขมากๆ หากมีรัฐบาลเช่นนี้เรืองอำนาจ แต่ความสุขของคนไม่กี่คนนี้สวนทางกับความทุกข์ของคนไทยมากกว่า 67 ล้านคน

สิ่งที่เราต้องการเห็นคือ ทุกส่วนของสังคมไทย จะได้รับประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจและผลการปฏิบัติงานของรัฐบาล ที่จะทำให้ประเทศไทยรุ่งเรืองมากขึ้น

++++++

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ทักษิณ มาแล้ว! ‘Good Monday’ แนะแก้วิกฤตฝุ่น ยกดูไบ ติดอันดับโลก ยังแก้ได้!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน