บทบรรณาธิการ
เวลาที่เดินหน้ามาถึงวันที่ 22 พฤษภาคมขณะนี้ เป็นวาระครบรอบ 3 ปีเหตุการณ์รัฐประหาร และขึ้นสู่ปีที่ 4 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เป็นระยะเวลาที่นานกว่าเหตุยึดอำนาจหลายครั้งก่อนหน้านี้
หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติหมุดหมายสำคัญในการยึดอำนาจ คือรักษาความสงบเรียบร้อย ปฏิรูปประเทศ ขจัดความขัดแย้ง สร้างความปรองดองในชาติ
พร้อมประกาศโรดแม็ปคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน
แต่เส้นทางของการคืนประชาธิปไตยนี้กลับมีรูปแบบแนวทางที่จำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างน่าพิศวง
การแถลงผลงานของคสช.ในรอบ 3 ปีไม่เกิดขึ้นในวันครบรอบ เมื่อแจ้งว่าจะยกยอดไปรวมกับผลงานรัฐบาลเพื่อแถลงในเดือนกันยายน
เพียงมีคำโต้แย้งสั้นๆ จากคณะผู้อยู่ในอำนาจว่าที่ทำมาทั้งหมดนี้ไม่เสียของ
มีการเอ่ยถึงข้อมูลการจัดอันดับขององค์กรระหว่างประเทศว่าส่วนใหญ่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยไม่เอ่ยถึงการหยุดชะงักหรือลดทอนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาลชาติต่างๆ
มีการเอ่ยถึงผลงานการแก้ไขปัญหาของสังคมที่สะสมมานาน พร้อมมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ว่าเพื่อจะไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
โดยยังไม่ประเมินผลกระทบจากการหยุดกลไกทางการเมืองในระบอบรัฐสภา หรือการมีผู้แทนจากประชาชน
ในทางเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน เป็นเรื่องที่รัฐไม่ปฏิเสธว่า ตัวเลขดีขึ้นไม่ได้สะท้อนว่าการกระจายรายได้เป็นไปด้วยดีหรือไม่
สิ่งที่ชัดเจนมากในช่วง 3 ปีมานี้คือภาพที่บ่งบอกว่าระบบราชการไม่อาจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยลำพัง หากปราศจากภาคการเมืองที่มีผู้แทนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ไม่ว่าผู้แทนจะเป็นนักการเมืองที่ดีหรือไม่ดี แต่ได้ทำให้ระบบการผลักดันและตรวจสอบโดยประชาชนทำงานอยู่ตลอดเวลา
เมื่อขาดตัวแทนประชาชน จึงทำให้การแก้ปัญหาและการประเมินผลงานไม่ชัดเจนและน่าพิศวงต่อไป