เหลื่อมล้ำหนักกว่าเดิม
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
เหลื่อมล้ำหนักกว่าเดิม – ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นประเด็นสำคัญอันดับต้นๆ ในการอภิปรายของส.ส.ฝ่ายค้านที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาล
เป็นประเด็นที่ไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนและไม่มีคำอธิบายหรือโต้แย้งที่หักล้างได้อย่างเด็ดขาด
สัปดาห์นี้ ธนาคารโลกเพิ่งเผยแพร่รายงานวิเคราะห์ความยากจนและแนวโน้มความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ระบุว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นมาจากภาวะเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่แย่ลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
สังเกตได้จากการที่ไทยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนา จีดีพีไทยปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ต่ำสุดในภูมิภาค
การวิเคราะห์ดังกล่าว ธนาคารโลกใช้ตัวเลขและสถิติอย่างเป็นทางการของภาครัฐระหว่าง ปี 2558-2561
ผลออกมาว่า อัตราความยากจนของประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.21 เป็นร้อยละ 9.85
หรือเพิ่มจาก 4,850,000 คน เป็นมากกว่า 6,700,000 คน
ความยากจนที่เพิ่มขึ้นในปี 2561 กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคใน 61 จังหวัดจาก 77 จังหวัด ทั่วประเทศ
โดยภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประชากรยากจนเพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 คนในแต่ละภาค
แม้มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ในส่วนที่นำรายได้เข้าประเทศ แต่รายงานของธนาคารโลก ระบุว่า จังหวัดที่มีอัตราความยากจนสูงสุดส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดน ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส และตาก รวมถึงอยู่ในพื้นที่ขัดแย้งในภาคใต้ และสามจังหวัดชายแดนใต้
เนื่องจากการค้าโลกอ่อนตัวลงส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในภาวะหดตัว และภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด
รายได้ที่แท้จริงจากภาคเกษตรและภาคธุรกิจลดลงทั้งในกลุ่มที่อาศัยอยู่เขตชนบทและเขตเมือง
อีกทั้งความเหลื่อมล้ำยังเป็นประเด็นสำคัญของไทยที่ความมั่งคั่งยังไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงไปสู่ประชาชนที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 40
รายงานนี้คงเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ว่า เหตุใดจึงมีกลุ่ม “ผีน้อย” ที่ออกไปดิ้นรนยังต่างแดนจำนวนมาก