เสียดายเวลาที่มีค่า
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
เสียดายเวลาที่มีค่า – คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติตีตกคำร้องกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีรวม 35 คน กรณีเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ
ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น ทั้งสองสภาก็มีมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมาก แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง เข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภา ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย
จากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 34/2557 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2557 ว่าตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ทำให้ร่างพ.ร.บ.นี้เป็นอันตกไป
ในส่วนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น มีความเห็นว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
จึงเห็นว่าสามารถเสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ อีกทั้งเป็นการเสนอในฐานะคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร เป็นไปตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา
คณะกรรมการป.ป.ช. จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 1 ว่าการกระทำดังกล่าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-35 ไม่มีมูลความผิดตามที่กล่าวหา และให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป
ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว นอกจากตกไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นที่เสนอร่างก็ไม่มีความผิดเช่นกัน
สําหรับร่างกฎหมายฉบับนี้ ตราขึ้นเพื่อใช้ในโครงการอนาคตประเทศไทย 2020 ที่หวังจะพลิกโฉมหน้าประเทศด้านระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะระบบรางคือการทำรถไฟความเร็วสูงเชื่อมไปยังภูมิภาค
น่าเสียดาย ที่โครงการดังกล่าวไม่เกิดขึ้น เพราะนอกจากกฎหมายจะตกไป ผู้ที่คิดโครงการถูกยื่นร้องเอาผิดแล้ว ยังมีขบวนการขัดขวาง ต่อต้าน ไม่ให้เกิดขึ้นด้วยการปลุกความเกลียดชัง จนนำไปสู่การโค่นล้มด้วยอำนาจมิชอบ
เวลาผ่านไปเกือบ 6 ปี ที่รัฐบาลต่อมาพยายามอ้างว่าจะมีโครงการลักษณะนี้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าแม้แต่โครงการเดียว ซึ่งน่าเสียดายโอกาสของประเทศอย่างยิ่ง
เวลาที่สูญเสียไป จึงมีค่า และเป็นต้นทุนที่แพงอย่างมหาศาล