สุดารัตน์เสนอแผน21วันสยบโควิด

สุดารัตน์เสนอแผน21วันสยบโควิด – หมายเหตุ : คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์มติชนสุดสัปดาห์ ถึงแผนการต่อสู้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19

หัวใจที่จะทำให้โรคนี้ยุติได้ ไม่ต้องไปพูดถึงว่าการระบาดอยู่สเตจ 2 หรือขึ้นสเตจ 3 หรือขึ้นสเตจ 3 แล้วปิดบัง เพราะไม่มีความหมายแล้วว่าเขาบอกตัวเลขเท่าไร แต่เราต้องทำงานให้ทันกับสภาวะที่กำลังระบาดมากขึ้น

มาตรการปิดสถานบันเทิง ปิดยิมฯ ปิดโรงเรียน เป็นมาตรการที่ดี แต่ ณ ห้วงนี้ไม่พอ เราไม่ต้องการให้ไปถึงสเตจที่คนต้องกักตัวอยู่บ้าน ออกมาไม่ได้ ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเพราะเราไม่มีความพร้อมพอ อย่างเกาหลี จีน ที่ทำเพราะมีเจ้าหน้าที่ ทั้งสาธารณสุข และอบรมทหาร-ตำรวจไปช่วยตรวจสอบ วัดไข้ ดูอาการตามบ้าน ปิดเมือง เช่าโรงแรมเป็นที่กักตัว

แต่การรับมือของรัฐบาลถ้าไปถึงสเตจนั้นเราจะรับมือไม่ไหว แพทย์ พยาบาล สถานที่รักษาจะรับไม่ไหว วันนี้แค่เครื่องไม้เครื่องมือการป้องกันตัวเองของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน้ากากอนามัยเถียงกันมาจะครบ 2 เดือน ยังไม่มีคำตอบและจัดหาไม่ครบ

จากประสบการณ์ความรู้ที่พอมีจากการทำงาน ส่วนตัวไม่คิดว่าเมืองไทยจะระบาดหลักพัน เพราะ 1.บ้านเราอากาศร้อน การฟักตัวระยะสั้น 2. คนไทยตื่นตัว ระมัดระวังตัว และโชคดีที่ช่วงม.ค.ในเมืองเจอฝุ่นพิษประชาชนตื่นตัวเรื่องใส่หน้ากาก เมื่อมีโควิดมาต่อ ชาวบ้านรู้หลักการ ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ พยายามไม่ใช้ของปะปนกัน ไม่ทานอะไรร่วมกัน คนส่วนใหญ่ระมัดระวัง

แต่เราต้องจบโรคให้เร็วด้วย 3 เหตุผล คือ 1.ถ้าจบไม่เร็ว เราต้องสูญเสียคนอีกเท่าไร 2. ถ้าจบไม่เร็วเศรษฐกิจพังอีกเท่าไร 3.เดี๋ยวเข้าหน้าฝน หน้าฝนกับหน้าร้อนผิดกัน เขาเตือนกันทั่วโลกว่าถ้าฝนจะระบาดอีกครั้ง ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกบอกว่าไทยจะไประบาดเยอะๆ เดือนต.ค. คือเดือนที่มีฝน ซึ่งหลังเม.ย.เรามีฝนจึงเหลือเวลาทำงานอีกไม่เยอะ

การระบาดในไทย เดิมระบาดจากต่างประเทศเข้ามา จึงต้องเคร่งครัดการตรวจคนเข้า สมัยทำซาร์สยังไม่มีเครื่องสแกนแต่จัดทีมแพทย์ 30-40 ทีม เวียนกัน ทุกคนที่มาจากกลุ่มเสี่ยง ฮ่องกง จีน ใครอยู่ในเกณฑ์ก็พาไปกักดูแลในที่เหมาะสม ให้เกียรติ มีการดำเนินการอย่างเข้มข้นจึงเล็ดลอดจากต่างประเทศเข้ามาได้น้อย แต่ครั้งนี้สเตจแรก เราปล่อยให้มีการเล็ดลอดเข้ามาจากต่างประเทศ หลายแหล่ง พอมีคนติดเชื้อเข้ามาแพร่ ก็มาแพร่กันเองในประเทศ

วันนี้ปัจจัยใหญ่ที่จะทำให้การระบาดยุติลงอย่างรวดเร็ว มี 2 ปัจจัยเท่านั้น อย่างแรกคือ ทำอย่างไรให้การระบาดในประเทศจบลงได้เร็วที่สุด การปิดสถานที่ต่างๆ โรงเรียน ร้านอาหาร โรงแรม คือการไม่ให้คนไปอยู่รวมกันเยอะๆ แต่แค่นี้ไม่จบ

หัวใจคือต้องค้นพบผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด มากที่สุด มาตรการให้อยู่บ้านก็อาจมีความจำเป็นต้องไปโน่นไปนี่ หากมีเชื้อก็ไปแพร่เชื้อ หรือรับเชื้อจากคนที่เป็นได้ จึงช่วยลดได้แต่ไม่สยบ ที่เราต้องการไม่ใช่แค่ลดแต่ต้องการให้จบเร็ว

ดังนั้น ข้อเสนอแรกคือ ให้รัฐบาลเปิดปฏิบัติการค้นหา ผู้ติดเชื้อ ปูพรมทั่วประเทศคือเอกซเรย์ โดยใช้กลไกของสาธารณสุขที่มีตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล อสม.ทั่วประเทศ 1 คนดูแล 10 บ้าน ซึ่งใช้มาแล้วตอนซาร์สหรือหวัดนก

แต่ตอนนี้มาถึงสเตจที่ต้องหยุดการระบาดให้เร็วที่สุด หาผู้ติดเชื้อให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด เสนอให้เปิดยุทธการปูพรมทั้งประเทศ ใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทั้งประเทศ ใครที่เจ็บคอ ไข้ขึ้น เป็นหวัด ให้ถือว่าเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงเข้าตรวจโควิดฟรี แล้วคัดกรองออกมา

ตรวจจากแอนตี้ไบโอติกถูกและเร็ว กรองได้ว่าติดไวรัสแล้ว ตรวจ 10 คน อาจเจอ 3 คน ก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เมื่อ 3 คนตรวจพีซีอาร์อาจเจอคนป่วยโควิด 2 คน อีกคนไม่ติดก็ไม่เป็นไร แต่ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

จึงเสนอปูพรมเอกซเรย์ ทำภายใน 3 สัปดาห์ จบภายใน 3 สัปดาห์ ทำ 3 รอบแบบปูพรม บ้านไหนเป็นไข้ เป็นหวัดนำมาตรวจ เครื่องแรบบิตเทสต์ ถูก เร็ว ไม่แพง ต่างประเทศ เกาหลี จีน ไต้หวันก็ใช้ ควรรีบนำเข้า สกีนนิ่งให้ได้มากที่สุด

การปิดสถานที่ต่างๆ ช่วยได้ระดับหนึ่ง ช่วยไม่ให้ไม่เจอกันแต่ไม่ได้ช่วยหยิบผู้ติดเชื้อออกมา ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการอย่างกรณี แมทธิว สุขภาพแข็งแรง เครื่องยิงตรวจไม่พบ ถ้าเขาไม่ตื่นตัวมาตรวจก็จะไปเผยแพร่เชื้อได้

การปิดสถานที่ต่างๆ ปิดแต่ละจังหวัดจึงไม่ช่วยมาก สำคัญคือปิดแล้วต้องหยิบผู้ติดเชื้อออก อย่าให้ไปแพร่เชื้อ ใครป่วยไปรักษา ใครไม่ป่วยไปสถานที่กักตัวซึ่งสามารถเช่าโรงแรม เหมือนต่างประเทศทำได้ เพราะโรงแรมตอนนี้คนเข้าพักน้อยอยู่แล้ว และให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขภายใต้พ.ร.บ.การควบคุมโรคระบาดเข้าไปคุมพื้นที่ มาตรการให้คนมาจากต่างประเทศกักตัวเองโดยรายงานตัวผ่านแอพฯ แสดงว่ายังไปประตูน้ำ ไปโน่นนี่ได้ ซึ่งไม่ใช่

การดำเนินการกับต่างชาติก็ต้องแมตช์กัน ในประเทศกำลังหาผู้ติดเชื้อ ไม่ใช่ปล่อยต่างชาติไหลเข้ามา ไม่มีประโยชน์ กับต่างประเทศเสนอ 2 ออปชั่น แจ้งไปยังประเทศปลายทาง ถ้าจะมีคนเดินทางจากประเทศคุณเข้าไทยจะถูกบังคับโดยพ.ร.บ.การควบคุมโรคระบาด ต้องกักตัว 14 วัน ค่าใช้จ่ายต้องรับผิดชอบเอง

การติดตามผ่านแอพฯ หรือให้ไปอยู่โรงแรมกันเองก็จะเกิดการติดเชื้อ ทางปฏิบัติต้องคุมทั้งตึก ที่เสนอวิธีแบบนี้ไม่ยากและไม่แพง ทำไมเรียกร้องให้ตรวจคนที่มีอาการคล้ายคลึงไวรัสโคโรนาแบบ ปูพรม เพราะแรบบิตเทสต์ตรวจคัดกรองก่อน ต้นทุนไม่แพง โรงพยาบาลบอกต้นทุนประมาณ 50 บาท ให้เลย 100-200 บาท ตรวจ 100,000 คน 20 ล้านบาท ตรวจพีซีอาร์อีกประมาณคนละ 3,000 บาท ถ้าอีก 100,000 คน ซึ่งไม่ถึงแน่ ตก 300 ล้าน เป็นสิ่งที่คุ้ม

วันนี้เราเป็นสเตจ 2 เชื้อเข้าประเทศ ทำอย่างไรที่จะควานหาผู้ติดเชื้อเร็วที่สุด ตั้งเป้าไว้ 21 วัน 3 สัปดาห์ต้องจบ จบเร็วคนไทยปลอดภัย จบเร็วเศรษฐกิจฟื้นเร็ว

อย่ากลัว รัฐบาลกลัวว่าถ้าควานหาคนติดเชื้อ ตัวเลขจะขึ้น ซึ่งทำความเข้าใจกับประชาชนได้ว่าใช้มาตรการนี้ตัวเลขจึงขึ้น แต่ตัวเลขขึ้นมากเท่าไร พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเท่าไร หมายความว่าประชาชนทั่วไปที่ยังไม่ติดเชื้อจะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าใช้มาตรการนี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเด้งขึ้นเท่าตัว แต่ประชาชนจะเข้าใจ เมื่อจบเร็ว เศรษฐกิจฟื้นเร็ว ตรวจ 100,000 คน ใช้แค่ 200-300 ล้าน เราอยู่ระดับ 2 แล้ว อย่าให้เป็น 3 ต้องกักตัวกันอยู่บ้านเราจะไม่มีระบบที่รองรับได้

ซึ่งต้องทำ 2 อย่าง อย่าให้ติดเชื้อใหม่เข้า เร่งปฏิบัติการควานหาผู้ติดเชื้อในประเทศ หากทำได้ภายใน 3 สัปดาห์ หลังสงกรานต์เราจะคุมตัวเลขได้แบบไต้หวัน จึงเรียกร้องผู้นำกล้าตัดสินใจทำเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้ ใช้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก มหาดไทยเป็นฝ่ายหนุน ถ้าปล่อยไปให้อยู่บ้านคนจะจิตตก ระบบเราไม่พร้อมพอ จะเอาใครไปตรวจที่บ้าน

  • การเข้าระยะสาม บ้านเราพร้อมรับมือแค่ไหน?

ส่วนตัวไม่สนใจเฟส 2 เฟส 3 เราดูข้อเท็จจริง มีการระบาดในประเทศ มีการติดกันเองระหว่างคนไทยที่ไม่ได้ไปเมืองนอก ระหว่างคนไทยที่ไม่ได้สัมผัสกับคนที่กลับจากเมืองนอก อย่างสนามมวยรับได้ 1 หมื่นคน เจอเกือบ 20 คน จะไปตามคนหมื่นคนไหวหรือไม่ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดังนั้นต้องเร่งทำ ประกาศสัปดาห์นี้เลยว่าจะปฏิบัติการปูพรม ค้นหาผู้ติดเชื้อ ต้องเร่งทำ พบผู้ติดเชื้อเร็ว เรื่องจบเร็ว เศรษฐกิจก็มา

แต่ถ้าปล่อยหลุดจากตรงนี้ เศรษฐกิจจะพังอีกเท่าไร วันนี้ ทุ่มงบประมาณ ยอมหนื่อย คนไทยเจ็บคอ มีไข้เข้าพบหมอ และแบ่งโซนให้คนเข้าพบหมอ ไม่อยากให้ถึงขั้นที่ต้องประกาศให้ทุกคนอยู่บ้านเหมือนหลายประเทศ ถ้าต้องจบใน 21 วัน เชื่อว่าพี่น้องคนไทยเข้าใจ ถ้ารัฐพูดความจริงว่าจะปฏิบัติการกวาดล้าง ค้นหาผู้ติดเชื้อ ปูพรมทั่วประทศ ตัวเลขเพิ่มขึ้นไม่ต้องตกใจ

  • เสียงเรียกร้องให้ปิดประเทศ

ปิดหรือไม่ปิดไม่เป็นไร ถึงปิดโรงเรียนโน่นนี่แต่ไม่หาผู้ติดเชื้อก็เหมือนเป็นฝี ปล่อยอมโรค สะสมหนองไปเรื่อย แต่ไม่ตัดสินใจผ่าตัด

หลักการควบคุมโรคง่ายๆ อย่าให้คนติดเชื้อใหม่เข้ามา หาคนที่มีเชื้อภายใน เจอให้เร็วที่สุด มากที่สุดถึงจะเกิดประโยชน์ การปิดสถานที่ต่างๆ โดยไม่มีมาตรการนี้ มันก็ใช่ และต้องใช้เวลาอาจไม่ใช่ 3 สัปดาห์ อาจเป็น 2 เดือน

สิ่งที่เราเร่งคือความปลอดภัยในชีวิตคน เศรษฐกิจ และเมื่อหน้าฝนมา แพร่ระบาดจะมากขึ้น หลังสงกรานต์จะมีฝนช่วงหนึ่ง เราไม่ต้องการให้เข้าไปสู่โซนอันตราย จึงกำหนด 21 วัน ให้ร่วมแรงร่วมใจ เอาให้จบ ชีวิตเราจะรอด เศรษฐกิจจะกลับมา

แต่ถ้าค่อยๆ บอก ปิดโน่นปิดนี่ ทำแบบเชื่องช้ากว่าสิ่งที่ควรทำหลายสเต็บ อย่างมาตรการที่ประกาศให้วัดอุณหภูมิ มีเจล ใส่หน้ากาก ประชาชน รัฐ เอกชน ทำมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว จะโลกสวยต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้ายังเป็นมาตรการที่รัฐบาลเรื่อยๆ มาเรียงๆ เราจะอมโรคไม่รู้กี่เดือน ที่เสนอไม่มีการเมือง แต่เสนอทางออกที่อยากให้นายกฯ ตัดสินใจ

ที่เสนอเป็นมาตรการควบคุม ขจัดโรค ที่ต้องคู่ขนานคือมาตรการเศรษฐกิจ ต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ต่างจังหวัดเจอภัยแล้งต้องรีบจ่ายเงินให้เร็วที่สุด ไม่ต้องมีพวกนี้รัฐบาลก็อยากจ่าย 2,000 อยู่แล้ว ก็จ่ายให้ตรงคนที่เดือดร้อน เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต้องออกตอนนี้เพราะเขาไม่มีสายป่าน

การประกาศหยุด 14 วัน จะไม่หยุดแค่นี้ ถ้าไม่มีมาตรการค้นหาผู้ติดเชื้อ และต้องปิดอีกนานเท่าไร ชาวบ้านจะเอาอะไรกิน การเยียวยาจึงเป็นปัญหาเร่งด่วนต้องทำควบคู่กัน มาตรการที่ที่ออกมาบางอย่างดี แต่ยังไม่พอ ลดค่าไฟน้อยมาก จริงๆ ไม่ต้องหว่านแห แต่เลือกลดให้เยอะสำหรับคนที่เดือดร้อน

ต้องลงเงินให้ตรงจุดคนเดือดร้อน สยบโลกให้เร็วที่สุด จากนั้น คลีนอัพประเทศ แล้วประกาศเวลคัมนักท่องเที่ยวกลับ

จะข่าวลือหรือข่าวจริงไม่ทราบ เรื่องพบผู้ติดเชื้อตามที่ต่างๆ เป็นสิ่งที่รัฐบาลพลาดทำให้เศรษฐกิจซบเซา เช่น ไปติดร้านหมูกระทะ หรือในกรุงเทพฯ ไม่บอกร้านไม่เป็นไร แต่ต้องสร้างความมั่นใจ เป็นตนจะพูดตรงๆ กับชาวบ้าน โดยความร่วมมือของร้านเพราะหลายแห่งก็แสดงตัว มีข่าวติดเชื้อตรงไหนให้เจ้าหน้าที่ไปคลีน แต่ปิด 14 วัน ครบ 14 วันคนยังไม่มา เพราะไม่มั่นใจครบหรือยัง

ต้องเสนอนายกฯ ว่า นายกฯ ต้องกล้าตัดสินใจ เคยใช้มาตรา 44 จัดการเรื่องต่างๆ ไม่เกี่ยวกับชีวิตของประชาชนมากมายเท่านี้ ไม่ได้เรียกร้องไปใช้ มาตรา 44 แต่เรียกร้องการกล้าตัดสินใจ และร่วมแรงร่วมใจ รวมหัวใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวสู้วิกฤต

ไม่ได้เสนอทางการเมือง เราเสนอจากประสบการณ์ที่ทำเรื่อง ซาร์ส หวัดนก ว่าหัวใจคือเจอผู้ติดเชื้อได้เร็วมากที่สุด ประชาชนจะปลอดภัย เศรษฐกิจฟื้นมาได้ ทำงานแค่ 21 วันเท่านั้น

  • ถ้าเป็นนายกฯ วันนี้จะแกอย่างไร

ถ้าก่อนหน้านี้ หน้าด่านเลย ไม่ปล่อยให้คนที่ปล่อยเชื้อเข้ามาในประเทศ 2. ถ้าตอนนี้ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อการควบคุมการระบาด จะทำ 4 อย่าง 1.จัดการองค์กรบริหารวิกฤต ไม่ปล่อยให้เละตุ้มเป๊ะ ไม่ปล่อยให้สับสน ย้อนแย้งอย่างที่ผ่านมา มีผู้รับผิดชอบแต่ละด้านชัดเจน ทำไม่ได้ออกไป

ต้องมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ด้านการแพทย์จะฟังใคร การควบคุมโรคติดต่อที่ต้องมีทั้งกระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย ฟังใคร 3.ด้านอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ จัดหาให้พร้อม ฟังใคร วันนี้ฟังกระทรวงพาณิชย์ บอกหน้ากากไม่ได้ส่งออก กรมศุลกากรบอกว่าส่งออก วุ่นไปหมด ไม่สามารถหาคนรับผิดชอบได้ ด้านเศรษฐกิจใครดู และด้านการสื่อสาร

2. ควบคุมโรค ควานหาผู้ติดเชื้อ ทำมาตรการ 21 วันตามที่เสนอ โดยขอความร่วมมือประชาชน

3. การสื่อสาร สร้างความร่วมแรงร่วมใจของประชาชน พูดความจริง อธิบายกับประชาชนอย่างละเอียด ชัดเจน แถลงแต่ละวันต้องชัดเจน ไม่ปิดบัง ไม่ต้องกลัวประชาชนตกใจ การสื่อสารตอนนี้สับสน กระทรวงเดียวกันอาจพูดไม่ตรงกัน กรรมการชุดเดียวกันก็พูดไม่ตรงกัน ในระหว่างวิกฤตความแม่นยำการสื่อสารทำให้คนเชื่อมั่นพร้อมเดินไปกับผู้นำ

4.เรื่องเศรษฐกิจ ในมุมมองตัวเอง ต้องคุมการระบาดให้เร็ว และระหว่างคุมเติมเงินให้คนที่เดือดร้อนให้เร็ว จ่ายเงินให้ตรงเพื่อให้มีรายได้หรือทรัพย์สินใหม่เกิดขึ้น เช่น แจกชาวบ้านขุดบ่อหัวไร่-ปลายนา ธุรกิจรายเล็ก รายน้อย ดำเนินการเรื่องสินเชื่อ

  • ประเมินเหตุการณ์จะสงบเมื่อไร

ถ้าประเมินจากเหตุการณ์ปัจุบัน กลัวจะไปถึงพ.ค. และกลัวที่สุดคือกลัวฝน เพราะบ้านเราบางปีพ.ค.ฝนก็มา

แต่ถ้าทำตามโมเดลที่เสนอ คลีน 21 วัน ปลายเม.ย.พร้อมประกาศเปิดกิจการ ขอ 21 วันผ่านให้ได้ จาก 21 วัน จะคลายมาตรการลงได้ระดับหนึ่ง จะคล้ายกับไต้หวัน ถ้าไม่ทำสิ้นพ.ค.จะจบหรือไม่ไม่ทราบ แต่ถ้าทำเดือนหนึ่งน่าจะจบแล้วเริ่มกันใหม่

  • ความพร้อมระบบสาธารณสุข ศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ

เรายืนมาวันนี้ได้เพราะระบบสาธารณสุขเราดี พื้นฐานเราดี คนเก่ง หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ผ่านการฝึก มีองค์ความรู้ วันนี้ยืนอยู่ได้เพราะพวกเขาต้องชื่นชม แต่วันนี้ที่ทำงานไม่ได้เต็มกำลัง ไม่ได้โทษใคร ข้าราชการต้องทำภายใต้นโยบายและงบประมาณ

ต้องจัดหาให้เขาทำงานได้เร็วที่สุด คล่องตัวที่สุด ไม่ต้องหวง อำนา หวงเงิน เครื่องไม้ เครืองมือ บุคลากรพวกนี้เป็นนักรบด่านหน้า เบี้ยเสี่ยงภัยต้องจ่ายให้เขาเต็มที่ ให้มีขวัญกำลังใจไปเสี่ยงภัย

  • พูดได้หรือไม่เรากำลังเผชิญภาวะขาดผู้นำในสถานการณ์วิกฤต

น่าจะเป็นส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมารัฐออกมาตรการสับสน ย้อนแย้ง กลับไปกลับมา คนทำงานก็ยากและช้ากว่าหลายก้าว

ไม่อยากให้เป็นรัฐล้มเหลว ถึงวันนี้ถ้ายังไม่ปรับการบริหาร การมีภาวะผู้นำ การมอบหมายงาน 5 ด้านหลักสู้วิกฤตให้มีคนรับผิดชอบ จะเป็นรัฐล้มเหลว เราไม่ต้องการให้เกิด เพราะจะวุ่นวายถ้าคนไม่ฟังรัฐ ไม่ฟังผู้นำ

ผู้นำ คนรับผิดชอบต้องปรับระบบ ประสิทธิภาพให้เราสามารถนำได้ ประชาชนเชื่อได้ว่าเราจะเดินไปได้ด้วยกันด้วยมาตรการนี้ ถ้าปิดแล้วไม่หยิบคนติดเชื้อออก มันไม่มี เอ็นด์เกม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน