ทางสองแพร่ง
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
ทางสองแพร่ง – คําแถลงจากบุคลากรแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ที่ประเมินสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คือขณะนี้ไทยเดินมาถึงทางสองแพร่ง
หนึ่งคือจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มไประดับหนึ่งแล้วลดลงแบบญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน
หรือสองจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างรวดเร็ว กินบริเวณกว้าง จนกระทบต่อระบบสาธารณสุขที่รับมือไม่ไหวแบบอิตาลี
การเลือกเส้นทางครั้งนี้มีเวลาจำกัดเพียง 1-2 สัปดาห์นี้ หากทำไม่ได้จะตกไปอยู่สถานการณ์เดียวกับอิตาลี หรือชาติยุโรปและอเมริกา
หลังจากอัตราการเพิ่มขึ้นรายวันของผู้ติดเชื้อเพิ่มจากหลักสิบมาถึงหลักร้อยแล้ว
การรับมือวิกฤตการณ์ดังกล่าวที่รัฐบาลเกือบทุกประเทศต้องพึ่งพาอย่างยิ่งคือความร่วมมือจากประชาชน
เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคที่แพร่ระหว่างคน และการรวมกลุ่มทางสังคมมีส่วนทำให้เชื้อขยายได้ รวดเร็ว ดังที่ปรากฏมาแล้วจากกรณีสนามมวย และผับย่านกลางกรุง
ข้อวิตกจากนั้นที่แพทย์เอ่ยถึงคือการกลับต่างจังหวัดของผู้มาใช้แรงงานในกรุงเทพฯ ที่ต้องกันตัวให้ห่างจากคนในครอบครัวและสังคมไว้ก่อนสองสัปดาห์เมื่อกลับไปถึง
โดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้อแล้วจะรักษาได้ยาก
บทเรียนที่อิตาลีเผยแพร่ยังประเทศอื่นๆ เป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และไม่เดินซ้ำรอย คือตระหนักว่าจะประมาทไม่ได้ จะดำรงวิถีชีวิตที่เสี่ยงกับโรคแบบเดิมไม่ได้
ภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขคือตรวจหาผู้ติดเชื้อและรักษาผู้ป่วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่า เตรียมเตียงไว้ประมาณ 10,000 เตียงสำหรับผู้ป่วยไม่หนัก และ 2,000-3,000 เตียงสำหรับไอซียู
ส่วนรัฐบาลเป็นฝ่ายตัดสินใจดำเนินมาตรการควบคุมหรือชะลอการระบาดของเชื้อ
การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หรือชี้ให้เห็นจุดที่เกิดปัญหาในระบบสาธารณสุข เป็นเรื่องปกติทางสังคมที่เกิดขึ้นได้ทุกประเทศและอาจเข้มข้นในช่วงเวลานี้ แต่ไม่ใช่เวลาที่รัฐบาลจะมามัวตอบโต้หรือกังวลกับคะแนนนิยม
ในเมื่อสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการชะลอหรือหยุดการระบาดของเชื้อขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นหลัก รัฐบาลต้องเป็นหลักให้ประชาชนร่วมมือก่อน
ทางสองแพร่งนี้รัฐบาลต้องเลือกเช่นกัน