กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา ที่พัฒนากลายเป็นโควิด-19 กำลังให้บทเรียนหลายด้านให้กับสังคมไทย
ไม่ว่าจะเป็นกรณี “สนามมวยลุมพินี” กับ “กองทัพบก”
ไม่ว่าจะเป็นกรณี “ท่าที” จากการโพสต์และการพูดของ นาย อนุทิน ชาญวีรกูล
ไม่ว่าจะเป็นกรณีบทบาทจากโครงสร้างของ”ภาวะฉุกเฉิน”
แต่ละลีลา ท่าทางของแต่ละกรณีไม่เพียงแต่ฉายสะท้อนท่วงทำนองในลักษะ “ปัจเจก” หากแต่ยังทะลวงลึกไปถึง “ระบบ” อันเป็นพื้นฐานแห่ง “ระบอบ”
ทั้งระบอบอันสำแดงผ่าน “นักการเมือง” ทั้งระบอบอันสำแดงผ่าน “ข้าราชการ”
นำไปสู่ระบบ”รัฐราชการรวมศูนย์”อย่างเด่นชัด
เหมือนกับกรณีของ “สนามมวยลุมพินี”จะเป็นเรื่องของ”เซียนมวย”ที่เป็นดั่งตัวแพร่ไวรัสอย่างกว้างขวาง หากแต่การที่สนามมวยเป็นของ “กองทัพบก”ยิ่งแจ่มชัด
แจ่มชัดว่าเหตุใด “สนามมวย”จึงยังสามารถจัดชกได้ทั้งๆที่มีคำสั่งห้ามอย่างเป็นนโยบายของ “รัฐบาล”
ทำให้มองไปยังภาพของ”ประธาน”สนามมวย
เช่นเดียวกับกรณีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งไม่เพียงแต่แต่ละคำพูดจะสะท้อน”จิตเดิมแท้”ในทางความคิด หากยังทำให้เห็นความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนภายใน
ภายใน “รัฐมนตรี” กับ “ข้าราชการ”แห่งกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง “นักการเมือง” กับ “ข้าราชการประจำ”ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานซ่อนเร้นมากด้วยเงื่อนงำ
ไม่รู้ว่าใครคุมใคร ไม่รู้ว่าใครหลอกใคร
ในที่สุด ภาวะซ่อนเร้นอย่างสลับซับซ้อนระหว่าง “ข้าราชการ” กับ “นักการเมือง”ก็สำแดงออกผ่านโครงสร้างของกองอำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
นั่นก็คือ นายกรัฐมนตรีอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด
นั่นก็คือ ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงมีบทบาทเหนือกว่ารัฐมนตรี
ขณะที่นายกรัฐมนตรีมีพื้นฐานมาจากทหาร มาจากข้าราชการประจำ
นี่แหละคือสุดยอดแห่ง “รัฐราชการรวมศูนย์”