ขี่ช้างจับไวรัส

คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ขี่ช้างจับไวรัส – หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.ร.พ.จะนะ ชี้ว่ามาตรการปิดถนนตั้งด่านวัดไข้ เปรียบเหมือน “ขี่ช้างจับไวรัส” ซึ่งแทบไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่มีประโยชน์ด้านรัฐศาสตร์การปกครอง คือมีประโยชน์ในมิติอำนาจ และการควบคุมประชาชน

ก็เห็นกันชัดๆ กทม.ตั้งด่านวัดไข้ จับโควิดได้กี่ตัว รถติดแอร์เย็นฉ่ำ มอเตอร์ไซค์ร้อนตับแตก เทอร์โมสแกนยิงหัว ย่อมวัดได้ไม่เท่ากัน ก็ยังตั้งด่านให้ขำๆ คนกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม ที่เดินทางข้ามไปข้ามมาทุกวัน กลายเป็นถูกแบ่งแยก

การตรวจวัดไข้ก่อนเข้าอาคาร หรือลงเครื่องที่สนามบิน ที่จริงก็ไม่รับประกัน 100% (ตอนหลังจึงต้องกักตัวคนเดินทางจากต่างประเทศ) แต่ไม่มีวิธีการดีกว่านี้ อย่างน้อยก็คัดกรองเบื้องต้น และไม่ยุ่งยาก ไม่เหมือนตั้งด่านให้รถติด เจ้าหน้าที่เหงื่อแตกพลั่ก

หรือบางจังหวัดตั้งด่านสกัดคนกลับบ้าน ให้ลงแอพ กักตัว 14 วัน อันนั้นถือเป็นมาตรการควบคุมโรค แม้มีคำถามอยู่บ้าง ว่าเหวี่ยงกว้างไปไหม เพราะหลายจังหวัดกักคนกลับจากกรุงเทพฯ เป็นแสนๆ พบผู้ติดเชื้อ 2-3 คน แต่ก็พออนุโลมว่า ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า

ซึ่งขึ้นกับมาตรการดูแลด้วย บางพื้นที่มีการดูแลอย่างดี แต่บางพื้นที่ คนตกงานกลับบ้าน ไม่มีกิน ถูกรังเกียจ จะออกจากบ้านก็กลัวโดนจับ

สังคมที่อยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ไม่ยอมชั่งน้ำหนักว่า อะไรคือมาตรการที่เหมาะสม ระหว่าง “สุขภาพ” กับ “เสรีภาพ” คิดแต่ว่าถ้าจำกัดเสรีภาพ 100% แล้วมีผลต่อสุขภาพ 0.01% ก็ยังดี ตราบใดที่ตัวเองไม่เดือดร้อน ฉะนั้นออกคำสั่งบังคับไปเถอะ

เช่นคำสั่งเคอร์ฟิว สี่ทุ่มถึงตีสี่ จับโควิดได้กี่ตัว การควบคุมโควิดก็รู้กันว่าต้องลดความแออัด ลดการเดินทาง เคอร์ฟิวกลางคืนลดอะไรบ้าง ตรงกันข้าม ทำให้คนรีบซื้อของช่วงค่ำ รถเมล์แน่นช่วงค่ำ จนรัฐบาลสั่งล้อมคอกเพิ่มเที่ยวรถเมล์

นี่ต่างกับเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงเฉพาะพื้นที่ เช่นป่าตอง ซึ่งจำเป็น เพราะพบผู้ติดเชื้อมาก ต้องเคอร์ฟิวลุยตรวจเชื้อเพื่อจำกัดการระบาด

แต่ผลงานเคอร์ฟิวกลางคืนคือตัวเลขจับกุม ซึ่งแซงหน้าตัวเลขผู้ติดเชื้อไปไกล และน่าจะทำสถิติโลก หากคิดเป็นสัดส่วน แม้ทุกประเทศใช้อำนาจจับปรับเพื่อควบคุมโรค แต่ไม่น่ามีใครใช้มากขนาดนี้

เคอร์ฟิวกลายเป็นผลงานปราบอาชญากรรมมโนสาเร่ เด็กแว้น คนเมา วัยรุ่นปาร์ตี้ บ่อนพนัน ซึ่งความจริงก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว แต่เพิ่มโทษ “ยาแรง” สะใจคนอยู่บ้าน หยุดเชื้อ “เพื่อชาติ” ว่าทำมั้ย ไอ้อีพวกนี้มันไม่รู้จักกลัวกันเสียบ้าง ยังไปมั่วสุมกันอยู่ได้

โดยไม่คำนึงถึงผลด้านกลับว่ามันกระทบคนอีกไม่น้อย ที่ต้องเดินทาง หรือรีบเดินทาง รวมถึงการขนส่งสินค้า ที่บอกว่าขนส่งได้แต่ห้ามตีรถเปล่ากลับ จับไม่ละเว้น

คนจำนวนมากยังด่าคนกลับบ้านช้าจนถูกจับ ก็รู้ว่ากฎหมายบังคับ ยังฝ่าฝืนให้โดนจับทำไม นี่คือทัศนะแบบไทย? กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย โดยไม่มองว่าเหมาะสมล้นเกินหรือไม่

ยิ่งเกิดดราม่า จับลูกสาวผู้ว่าฯ สังคมก็ฮือ กฎหมายต้องเสมอหน้า จนลืมคิดว่าการจับคนกลับบ้านเกินสี่ทุ่ม ไม่มีผลต่อการจับกุมไวรัส ถูกละ วัยรุ่นมั่วสุม รวมกลุ่มเล่นไพ่ เสี่ยงแพร่ระบาด แต่นั่นไม่ขึ้นกับเคอร์ฟิว เวลาไหนก็ต้องจับ จำเป็นไหมที่ต้องกระเหี้ยนกระหือรือลงโทษเกินสมควรแก่เหตุ

คนจับกลุ่มกินเหล้า ใช่เลยมีความเสี่ยง แต่สั่งปิดผับปิดร้านไปแล้ว ถ้าจับกลุ่มในเคหสถาน ก็เอาผิดเขาไม่ได้ จะทำอย่างไร สุดท้ายก็เลยแก้ปัญหาแบบเมืองไทยเมืองพุทธ ไหนๆ ก็ผิดศีลข้อห้า ห้ามขายไปเลย โดยไม่คำนึงว่าคนที่ซื้อเหล้าเบียร์ไปกินแก้กลุ้มคนเดียวระหว่างอยู่บ้าน หยุดเชื้อ “เพื่อชาติ” ก็มีอีกตั้งมากมาย

แล้วเป็นไง พอออกคำสั่ง คนก็แห่ไปซื้อเหล้าเบียร์กักตุน แล้วเดี๋ยวก็คงจับคนขนเหล้าข้ามจังหวัด

ยังไม่นับคำขู่คนลงทะเบียนขอรับเงินห้าพัน กรอกข้อมูลเท็จถูกจับ รับเงินแล้วโพสต์ผิดหูก็ขู่จับ นับไปนับมา ถ้าเอาจริง คงจับ 15 ล้านคน

รัฐพยายามตีปี๊บว่า เคอร์ฟิว 4 วัน อำนาจจับกุมโดยตำรวจทหาร ส่งผลให้ตัวเลขติดเชื้อลดลง โธ่ถัง ชาวบ้านหัวร่อกลิ้ง ตัวเลขแต่ละวัน มาจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อราว 7-10 วันก่อน และถ้าตัวเลขลดลงจริง ก็ต้องยกผลงานให้ระบบสาธารณสุข ทั้งแพทย์พยาบาลที่ทำงานหนัก และการสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ

อำนาจบังคับจับกุมเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมโรค แต่ต้องใช้อย่างรัดกุม ตามจำเป็น ไม่ใช่ใช้พร่ำเพรื่อด้วยทัศนะอำนาจนิยม

แม้ตอนนี้เหมือนสังคมขี้ตื่นยอมให้ใช้ แต่ถึงจุดหนึ่งก็ระวังไว้ กระแสจะตีกลับ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน