คอลัมน์ บทบรรณาธิการ

สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน พบเบาะแสการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการระดับสูง สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับเงินอุดหนุนบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด ระหว่างพ.ศ.2555-2559 มีความผิดปกติ

มีการเบิกจ่ายของวัดที่เข้าข่ายจำนวน 33 วัด โดย 12 วัด อยู่ในภาคเหนือ 6 วัด อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 วัด อยู่ที่ภาคกลาง 2 วัด และภาคใต้อีก 1 วัด รวมความเสียหายกว่า 60.5 ล้านบาท

คดีนี้ กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนสอบสวน และเข้าตรวจค้นหาหลักฐานกับบุคคลเกี่ยวข้อง 3 คน

เป็นอดีตผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ที่ยังรับราชการอยู่ และอดีตข้าราชการระดับ 8 อีก 1 คน

พฤติกรรมดังกล่าวพบว่ามีการเสนอให้เงินอุดหนุนแก่วัดต่างๆ ทั้งที่ยื่นขอไป และจัดให้เอง ตามจำนวนลดหลั่นกันไป เมื่อวัดได้รับเงินไปแล้วจะต้องโอนคืนส่วนต่างกลับมาให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ตามแต่จะเรียกคืน หรือเงินทอนนั่นเอง

โดยตรวจสอบพบว่าวัดชื่อดังจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง ได้รับการจัดสรรจำนวน 10 ล้านบาท แต่ต้องโอนกลับคืนจำนวน 8 ล้านบาท ซึ่งกำลังตรวจสอบต่อไปว่าวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นด้วยหรือไม่

การกระทำลักษณะนี้ ย่อมกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระพุทธศาสนาโดยตรง แม้ว่าข้าราชการส่วนใหญ่จะมิได้เกี่ยวข้องด้วยก็ตาม

จึงต้องทำความจริงให้ปรากฏอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

เมื่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลความเสียหายต่อวัดด้วย ในส่วนของคณะสงฆ์เอง ก็ต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยกันขจัดความประพฤติมิชอบอีกทางหนึ่ง

ขณะเดียวกัน บัญชีรายรับรายจ่ายต่างๆ ของวัด ก็ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้เช่นกัน การให้อำนาจแก่เจ้าอาวาสเป็นผู้เซ็นเบิกจ่ายแต่ผู้เดียวอย่างที่เคยทำมานั้น อาจจะเกิดข้อครหาได้

การบริหารรายได้ต่างๆ ของวัด ซึ่งอาจดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการต่างๆ หรือมีหลายๆ ฝ่ายมาช่วยกันดูแล และมีผู้ตรวจสอบที่เป็นกลาง ก็อาจจะช่วยคลายข้อสงสัยได้

หากไม่ทำเสียเองตอนนี้ ระวังรัฐกำลังจะยื่นมือมาทำให้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน