เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม
กรณีเจ้าหน้าที่ทหารบุกเข้าล็อกตัวชายอายุ 62 ปี อดีตพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้า
หลังใช้เวลา “แกะรอย” นานเกือบ 1 เดือน
กระทั่งพบพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ก่อเหตุวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ทั้งยังอาจเชื่อมโยงไปถึง “ขบวนการ” ก่อเหตุอีก 2 ครั้งก่อนนั้นคือ ระเบิดบริเวณหน้ากองสลากเก่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน และหน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
อย่างที่สังคมรับรู้ ทั้ง 3 เหตุการณ์ดังกล่าวมีการตั้งประเด็นตั้งแต่แรกว่า ไม่น่าใช่ระเบิดก่อการร้าย หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่มีจุดมุ่งหมายสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมือง
ท้าทายอำนาจรัฐบาลทหารโดยตรง
คล้ายกับเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเมื่อปี 2550 และปี 2558 บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน
เนื่องจากระเบิดลูกแรกหน้ากองสลากเก่าเกิดขึ้นช่วงประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นทางการ ลูกที่สอง หน้าโรงละครแห่งชาติ เกิดขึ้นช่วงเตรียมแถลงผลงาน คสช.ครบ 3 ปี
ส่วนลูกที่สาม ชัดเจนมากที่สุด
คนร้ายไม่ได้แค่เลือกฤกษ์ยามลงมือตรงกับวันครบรอบ 3 ปีการรัฐประหารของคสช.เท่านั้น
ยังเลือกเอา “ห้องวงษ์สุวรรณ” ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พื้นที่ภายใต้การดูแลของทหาร เป็นเป้าหมายอีกด้วย
ในตอนนั้นถึงแม้จะมีการประเมินในเบื้องต้นว่า ระเบิดทั้ง 3 ลูกมีสาเหตุแรงจูงใจมาจากเรื่อง “การเมือง” ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยัน
ทำให้เกิดการปล่อยข่าวคาดเดาไปต่างๆ นานา
อาทิ เป็นฝีมือลูกน้องอดีตนายทหารยศ “พลเอก” แห่งกองทัพบก ทั้งชื่ออักษรย่อ พ.พาน และ ช.ช้าง ที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล คสช.
จนต่อมา พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ต่างออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ ปฏิเสธชื่อย่อ พ.พาน และ ช.ช้าง ไม่ใช่ตนเองแน่นอน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระเบิดทั้ง 3 ลูก
อย่างไรก็ตาม ชื่อที่เปิดออกมาแล้วเกรียวกราวมากที่สุด กลับเป็นชื่อของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
นั่นก็เพราะคนพูดชื่อ “โกตี๋” ขึ้นมาเป็นคนแรกว่าอยู่ในข่ายต้องสงสัย คือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการ คสช.
ทุกอย่างจึงเริ่มเห็นเค้าลางๆ ตั้งแต่ตอนนั้น ว่าจุดหมายปลายทางคดีระเบิดอยู่ตรงไหน
กล่าวกันว่าเหตุระเบิดกรุง 3 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม
ส่งผลสะเทือนทำให้การเมืองเกิดการแกว่งตัวสูง โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรดแม็ปเลือกตั้ง
“สิ่งสำคัญที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงคือ ถ้าบ้านเมืองยังเป็นอยู่แบบนี้ ทั้งการวางระเบิด การใช้อาวุธสงคราม การทำให้เกิดความขัดแย้งในภาคประชาชน แล้วมีปัญหาเหมือนเดิมที่ผ่านมา แล้วจะเลือกตั้งกันได้หรือไม่”
“รัฐธรรมนูญ กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ระยะเวลาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ก็ยังเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง เว้นแต่บ้านเมืองไม่สงบสุข” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ระบุ
ต่อมามีการสรุปเหลือแค่ว่า “ถ้าไม่สงบ ไม่เลือกตั้ง” ประโยคสั้นๆ แต่ก่อแรงกระเพื่อมทางการเมืองไม่น้อย
ฝ่ายการเมืองพรรคเพื่อไทยมองว่า รัฐบาล คสช.กำลังจับแพะชนแกะ อาศัยสถานการณ์ระเบิดป่วนกรุง ที่ยังมั่วๆ ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือการเมืองกลุ่มใดกันแน่
มาสร้างเป็นเงื่อนไขไม่ให้มีเลือกตั้ง
ข้อสังเกตดังกล่าวยังถูกนำมาใช้กับ 4 คำถามของพล.อ.ประยุทธ์ ในเวลาต่อมาอีกด้วย ว่าอาจมีความพยายามวางกลไก “ชี้นำ” ให้คำตอบออกมาในทิศทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโรดแม็ป
แต่ถ้าวัดจากบรรยากาศเรื่อยๆ มาเรียงๆ ในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดให้ประชาชนมายื่นตอบแบบสอบคำถาม ที่ศูนย์ดำรงธรรมทั้งในส่วนกลางและแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงอีก 50 สำนักงานเขต ในกรุงเทพมหานคร
ก็ดูเหมือนไม่ง่ายดายเสียแล้ว
การพิสูจน์ได้ว่าคดีระเบิดกรุงทั้ง 3 ครั้งมีกลุ่มการเมือง “เจ้าเก่า” ขาประจำอยู่เบื้องหลัง เหมือนที่มีการปักธงชี้เป้าไว้ในตอนแรก จึงเป็นจังหวะโอกาสสำคัญ
อาจช่วยให้รัฐบาล คสช.กลับมาเป็นฝ่ายครองเกม
หลังจากเพลี่ยงพล้ำเสียรังวัดกรณีมีทหารนอกแถวเข้าไปพัวพันกับขบวนการลักลอบค้าอาวุธถึง 2 คดีซ้อน ตกเป็นข่าวอื้อฉาว
กระทบภาพลักษณ์กองทัพอย่างรุนแรง
ต้องจับตาว่า หลังการจับกุม “ลุงมือระเบิด” จะเป็นตัวเร่งอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนแรงไปถึงจุดใด
ขณะที่ปฏิบัติการทุบพรรคการเมืองบางพรรค ผ่านการออกแบบบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และร่างกฎหมายลูกที่กำลังจะออกมายังใส่เกียร์เดินหน้าต่อเนื่อง
รวมถึงการใช้อภินิหารทางกฎหมายฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นว่าเล่นกับอดีตส.ส.และนักการเมืองที่กระด้างกระเดื่องต่อผู้มีอำนาจ
ไม่นับรวมคดีโครงการรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เจ้าของแฟนเพจ เฟซบุ๊ก “6 ล้านไลก์”
บางคดีมีการตั้งเรื่องมาตั้งแต่ยุครัฐบาลรัฐประหาร 2549 ก็นำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ ผลักดันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในช่วงนี้ จนถูกมองว่าต้องการใช้เป็นเครื่องต่อรองเพื่อ “ปิดปาก” ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์
ซ้ำเติมสถานการณ์ “ขาลง”
ทั้งหลายทั้งปวงจึงเหมือนแม่น้ำหลายสายที่ไหลมาบรรจบตรงแกนกลาง คือการขุดรากถอนโคนพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก หรืออย่างน้อยต้องทำให้อ่อนแอจนไม่เหลือสภาพต่อกร
ขัดขวางการกลับเข้าสู่อำนาจของ “คนนอก”
แน่นอนว่าหลักฐานอุปกรณ์ประกอบระเบิดไปป์บอมบ์ ที่ทหารตรวจค้นเจอในแหล่งพำนักของ “ลุงมือระเบิด” จะเป็นวัตถุพยานมัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด
รวมถึงคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเองว่าเกลียดชังทหาร มาตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553
แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตในโลกโซเชี่ยล ทำไมก่อเหตุมาแล้วนานเกือบเดือน แต่ยังเก็บหลักฐานเอาไว้เต็มบ้าน โดยเฉพาะระเบิดไปป์บอมบ์พร้อมใช้งาน 4 ลูก
เป็นประเด็นที่ฝ่ายตำรวจต้องชี้แจงให้กระจ่าง
เชื่อได้ว่างานนี้ไม่ใช่การ “จับแพะ” แน่นอน เพราะการจับแพะ ย่อมหมายถึงคนร้าย “ตัวจริง” ยังอยู่ และพร้อมก่อเหตุระเบิดครั้งใหม่ได้ตลอดเวลา
แต่กับสายคล้องบัตรพนักงาน และนาฬิกาติดผนังที่มีรูป “คนแดนไกล” ติดอยู่
หากมองอีกแง่หนึ่งก็เป็นอะไรที่มีลักษณะเจาะจงมากเกินไป จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้
อะไรจะ “ชัด” ขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ภายใต้การสร้างความปรองดองที่ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริง
สังคมไทยเคยได้สัมผัสกับ “อภินิหารภาษีหุ้นชินคอร์ป” มาแล้ว
ไม่แน่ ครั้งนี้หากจะปรากฏ “อภินิหารคดีระเบิด” ให้เห็นอีกสักที
ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจสักเท่าไหร่