ไม่ว่าจังหวะก้าว “กรธ.” ไม่ว่าจังหวะก้าว “สนช.” ต่อการขับเคลื่อน “กฎหมายลูก” ก่อนเข้าสู่ “การเลือกตั้ง”

“ธง” อันเด่นชัดคือ “เพื่อไทย”

ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับเมื่อตอนยกร่าง”รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550″ หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

เรียกในตอนนั้นว่า”แผนบันได 4 ขั้น”

จะต่างกับ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550” ก็คือมีความเข้มมากยิ่งขึ้นใน “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560”

ประกันการสืบทอด “อำนาจ”

ผลก็คือ “ประชาธิปัตย์” ผลก็คือ “ชาติไทยพัฒนา” หรือแม้กระทั่ง “ภูมิใจไทย”ก็โดนด้วย

ยิ่ง”พรรคเล็ก”ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “โอกาส”

ไม่ว่าจะมองผ่านความเข้มในเรื่อง “เงิน” ไม่ว่าจะมองผ่านความเข้มในเรื่อง “ไพรมารี โหวต”

พรรคใหญ่ พรรคกลาง ไม่สะเทือน

พรรคใหญ่อย่าง “เพื่อไทย” พรรคใหญ่อย่าง”ประชาธิปัตย์”สะเทือนอะไร

พรรคกลางอย่าง”ชาติไทยพัฒนา”ก็ไม่สะเทือน

ยิ่งพรรคกลางอย่าง “ภูมิใจไทย” ทั้งเสี่ยหนู เสียเน ล้วนยิ้มที่มุมปาก

“พรรคปฏิรูปประเทศไทย” ต่างหากที่สะเทือน

ไม่ว่าเพื่อไทย ไม่ว่าประชาธิปัตย์ ไม่ว่าชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าภูมิใจไทย ล้วนคร่ำหวอดอย่างชนิดลายแตกงา

สามารถหา”ช่อง”ได้อยู่แล้ว

หากคิดว่าทุกอย่างที่เสนอเข้ามาก็เพื่อให้พรรคการเมืองยับยุ่ยเป็นผุยผงก็อีกเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือ ไม่อยากให้มี”พรรคใหญ่”

ความหมายจึงหมายความว่า กฎกติกาที่ยกร่างกันตั้งแต่รัฐธรรมนูญกระทั่งถึงกฎหมายลูก

คือ การก่อสภาวะ”ถดถอย”

นั่นก็คือ จากพรรคใหญ่กลายเป็นพรรคกลาง จากพรรคกลางกลายเป็นพรรคเล็ก เพื่อมิให้สามารถผนึกตัวรวมพลังจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเป็นเอกเทศ

คิดหรือว่า”พิมพ์เขียว”นี้จะ “สำเร็จ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน