คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
กรณีนักวิชาการลุกขึ้นยืนชูป้ายข้อความ “เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร” ภายในห้องประชุมสัมมนาไทยศึกษา ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
และต่อมานายพุฒิพงษ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครอง ระบุว่า
นักวิชาการ นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว 3 คนในนามกลุ่มนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ คนส. มาชูป้ายประท้วง ต่อต้านทหารและการรัฐประหารเช่นที่เคยทำมา
ทาง กกล.รส.จว.เชียงใหม่จะเชิญบุคคลทั้ง 3 มาเข้าพบเพื่อชี้แจง
และขอความร่วมมือไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป
ทําให้เกิดเสียงวิจารณ์และปฏิกิริยาตาม ต่อมามากมาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นไปในทิศทางที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกตัวนักวิชาการ ดังกล่าวเข้ามาชี้แจง เพราะเห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้
นอกจากนั้นแล้ว คนส.ยังออกแถลงการณ์ชี้แจงด้วยว่า ในจดหมายที่ใช้คำว่า “ฉวยโอกาส” นั้น เป็นเรื่องไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและไม่เหมาะสม
ไม่แต่เพียงเท่านั้น การระบุตัวบุคคลที่บอกว่าออกมาเคลื่อนไหวก็คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
และทำให้ คนส.เตรียมออกแถลงการณ์เพิ่มเติมที่มีเนื้อหาไปไกลกว่าเดิม
โดยจะเรียกร้องให้ คสช.คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชน
ความหวังดีของผู้ปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดอย่างเคร่งครัด จึงอาจกลายเป็นการสร้างปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหาไปด้วยประการฉะนี้
เพราะแทนที่จะบังคับใช้ระเบียบหรือกฎหมายอย่างยืดหยุ่นผ่อนปรน เปิดช่องให้มีการระบายความคิดเห็น เพื่อมิให้เกิดความเครียดสะสม
กลับเลือกวิธีการปิดกั้นหรือขัดขวางการแสดงออก ซึ่งยิ่งจะทำให้ความไม่พอใจหรือความอึดอัดภายในจิตใจเพิ่มมากขึ้น
และเป้าที่ถูกโจมตีย่อมมิใช่ผู้ปฏิบัติ แต่เป็นรัฐบาล และ คสช. ในฐานะผู้กุมนโยบาย-ผู้มีอำนาจสูงสุด
ความเครียดสะสมที่หาช่องระบายมิได้นี้ มีตัวอย่างมานับไม่ถ้วนแล้วในอดีตว่าเป็นอันตรายเพียงใด