พลันที่มีคำสั่งปิด “พีซทีวี” เป็นเวลา 30 วัน หลายคนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำสั่งปิด”พีซทีวี”เมื่อปี 2559 ในห้วงแห่ง”ประชามติ”
เดือนสิงหาคม 2560 ประชามติผ่านมาแล้ว 1 ปี
ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ก็ประกาศและบังคับใช้มาแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน
แต่เมื่อใกล้จะถึง”25 สิงหาคม” พีซทีวีก็ “จอดำ”
หากเหตุผลอันมาจากที่ประชุมคณะกรรมการกสทช.ไม่มีอะไรไรเกี่ยวกับการอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีแต่ระบุเนื้อหาเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขัดพรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
กระนั้น เมื่อมองจากมุมของนปช.ไม่ว่าจะเป็น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ไม่ว่าจะเป็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ก็ได้กลิ่น”จอดำ”ก่อนเดือนสิงหาคม 2559
ขณะเดียวกัน เมื่อนำเอามติกสทช.ปิด”พีซทีวี”เป็นเวลา 30 วัน นับจากวันที่ 10 เป็นต้นไป ครบกำหนด 30 ในต้นเดือนกันยายน
พ้นจากสถานการณ์ในวันที่ 25 สิงหาคม อย่างเหมาะเจาะ
หากมองอย่างเข้าใจก็คงจะประจักษ์ในความกังวลที่คสช.และรัฐบาลมีต่อวันที่ 25 สิงหาคม
เพราะแค่อ่านคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหาคม ก็สัมผัสได้
สัมผัสได้ในปฏิกิริยาที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” รู้สึก
ไม่ว่าบริเวณหน้าศาล ไม่ว่าในที่ประชุม
หากเปลี่ยนจากมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยังมวลชนที่แวดล้อม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็พอจะมองออก
เพราะไม่เพียงแต่จะมีฐานอันมาจาก”คนเสื้อแดง” หากแต่ยังมีฐานอันมาจาก”พรรคเพื่อไทย”
ข่าวที่หลุดจาก”คสช.”เรื่องกำชับผ่าน”กกล.รส.”จึงเกิดขึ้น
แม้จะมีการปฏิเสธดังมาจากเลขาธิการคสช.ซึ่งเป็นผบ.ทบ.แต่เมื่อติดตาม”แผนกรกฎ 52″ก็เริ่มเข้าใจ
เข้าใจว่าทำไมต้องพุ่งเป้าไปยัง นายวัฒนา เมืองสุข
เข้าใจว่าทำไมมติกสทช.จึงออกมาอย่างเข้มข้นด้วยการจอดำให้กับ”พีซทีวี”