บทบรรณาธิการ
สถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือตลอดสัปดาห์ก่อน ทำให้นานาประเทศไม่สบายใจ และหวั่นว่าอาจเกิดการใช้อาวุธร้ายแรงขึ้น
ผู้นำหลายๆ ประเทศที่มองดูในฐานะคนนอก พยายามเรียกร้องให้ใช้แนวทางการทูตคลี่คลายวิกฤต เพราะถ้าเกิดเหตุรุนแรงขึ้นผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่เพียงสองประเทศ หรือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเท่านั้น ยังสะเทือนไปทั่วโลกอย่างแน่นอน
สำหรับรัฐบาลไทยแสดงท่าทีว่าไม่อยากให้เรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น และขอให้ยึดแนวทางการเจรจาว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ส่วนไทยเองยึดมั่นตามพันธกรณีมติคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ไทยเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือและสหรัฐมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้
เนื่องจากมาตรการของยูเอ็นเอสซีดังกล่าว มุ่งให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือมากกว่าที่เคยเป็น และอาจมีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 33,000 ล้านบาท
มูลค่าการค้าระหว่างไทยและเกาหลีเหนือระหว่างปี 2552-2557 ที่เปิดเผยทางสาธารณะอยู่ที่ 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,200 ล้านบาท
แม้ไม่ใช่คู่ค้าหลักแต่ย่อมเป็นที่จับตา โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น
เป็นภาระหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการและแสดงต่อประชาโลกให้ชัดเจน ว่าไทยปฏิบัติตามมติของยูเอ็นเอสซี
นอกเหนือจากกรณีดังกล่าว ยังมีประเด็นคู่ขนานจากการพบปะระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐ ว่าด้วยความร่วมมือพิเศษ
แม้จะไม่ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ไทย แต่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐกลับเปิดเผยต่อสำนักข่าวต่างประเทศอย่างชัดเจน
ไม่ว่าการปิดกิจการเกาหลีเหนือที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกกับไทย การอนุญาตให้ผู้อพยพจากเกาหลีเหนือผ่านเข้ามาประเทศไทยเพื่อลี้ภัยไปประเทศที่สามให้ง่ายขึ้น ฯลฯ
ข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้ยังมีขึ้นในช่วงที่มีข่าวว่าผู้นำไทยจะเดินทางไปเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม
ไม่ว่ากรณีนี้จะเกี่ยวกันหรือไม่ โจทย์การทูตในเรื่องนี้ไม่ง่ายและต้องใคร่ครวญอย่างยิ่ง