เหมือนกับว่าการโพสต์ข้อความเรื่องน้ำท่วมเข้าไปในบ้านและทำให้รถเสียหาย 1 คันจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

จะเป็นการบ่น จะเป็นการร้องอุทธรณ์

สะท้อนความเป็นเอกภาพและเท่าเทียมกันของคนที่มีบ้านอยู่อาศัยในกทม.

ไม่ต้องการให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง

แต่เมื่อ “เป้าหมาย” ของการร้องอุทธรณ์คือ “กทม.”และสถานะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ธรรมดา

เพราะเคยเป็นถึง”นายกรัฐมนตรี”

บทบาทและความหมายของข้อความที่โพสต์จึงส่งผลสะเทือนไม่ยิ่งหย่อนกว่ากรณี”หนูดี”เมื่อปี 2554

รุนแรง ล้ำลึก กว้างไกล

ต้องยอมรับว่าคนดี-ดีอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ต้องการ กล่าวหาใครอย่างแน่นอน

ไม่มีข้อความในแบบ”ผู้นำโง่”ปรากฏออกมา

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับ”กทม.” ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ”ระดับชาติ”ก็ตาม

แต่สถานะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็น่าคิด

เพราะเนื้อความของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่ากับอุทธรณ์ต่อผลงานของกทม.โดยตรง

และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน กทม.นับแต่หลังยุค นายสมัคร สุนทรเวช เป็นต้นมา ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น”อภิรักษ์” หรือ”สุขุมพันธุ์”

แม้กระทั่ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ก็เคยอยู่ในทีม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

เสียงบ่นจึงเท่ากับบ่นโทษตัวเอง

โบราณเตือนมานานนมกาเลแล้วว่าหากยังไม่พ้น”ชวด ฉลู”อย่าเพิ่งตำหนิติฉิน

เพราะอาจมี “ขาล เถาะ”ตามมา

กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บ่นในเชิงอุทธรณ์กรณีน้ำท่วมเข้าไปในบ้านและสร้างความเสียหาย จึงดำเนินไปคล้ายกับ”ขว้างงูไม่พ้นคอ”

เพราะเป็นคอของ”ประชาธิปัตย์” ซึ่ง”บริหาร”กรุงเทพมหานครมาต่อเนื่อง 10 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน