ถูกต้องอย่างยิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบตรงกันกรณีการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
1 เป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล
ไม่ว่าจะเพราะต้องการไปประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเพราะไม่เห็นด้วยกับการใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 เพื่อย้ายฟ้าผ่าอธิบดีกรมการจัดหางาน
ขณะเดียวกัน 1 เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่อง”ภายใน”ของคสช.อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด
แทบไม่มี “คนอื่น” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
นี่คือ จุดต่างระหว่างรัฐบาลที่มาจาก”รัฐประหาร”กับรัฐบาลที่มาจาก”การเลือกตั้ง”
หากเป็นรัฐบาลที่มาจาก”การเลือกตั้ง” การลาออกอันนำไปสู่การจำต้องปรับครม.มักจะมาจากปัจจัย”ภายนอก”
นั่นก็คือ แรงกระแทกจากนอก”รัฐบาล”
อย่างเช่นการยุบสภาของรัฐบาล นายชวน หลีกภัย เมื่อปี 2538 เพราะการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจในกรณีเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01
อย่างเช่นการยุบสภาของรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 เพราะการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจอันม จาก “กระดาษแผ่นเดียว”
แต่กรณีของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ไม่มีสถานการณ์แบบนั้น
หากจะจับเอา”สาเหตุ”ก็ต้องเริ่มจากคำสั่งหัวหน้าคสช.เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม และการยื่นใบลาออกของรัฐมนตรีในวันที่ 1 พฤศจิกายน
ทั้งหมดนี้เนื่องมาแต่”มาตรา 44″
มาตรา 44 เป็นผลพวงอันมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จในมือของหัวหน้าคสช.
นี่จึงเป็นเรื่องของ”คสช.”เน็ต-เน็ต
ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ “พรรคเพื่อไทย” ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ”นปช.”คนเสื้อแดง
เป็น”เรื่องส่วนตัว” มาจากการตัดสินใจ”ส่วนตัว”
ไม่ว่าจะเป็นของ “คสช.” ไม่ว่าจะเป็นของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล