กว่ารายชื่อจะ “ลงตัว”

กระทั่งเข้าสู่กระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีชุด “ประยุทธ์ 5”

ถือว่าครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ในฐานะผู้มีอำนาจเต็ม ต้องใช้เวลาพิจารณาตรวจสอบอยู่นานหลายวันกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา

อย่างที่รับรู้กันว่า การปรับครม.ครั้งนี้ มีสารตั้งต้นจากการที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยื่นลาออกจากตำแหน่งรมว.แรงงาน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อรับผิดชอบต่อกรณีพล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งเด้งฟ้าผ่าอธิบดีกรมการจัดหางาน

การลาออกของ พล.อ.ศิริชัย จากปัญหาขัดแย้งลึกๆ ในการบริหารงานกระทรวงแรงงาน เป็นจุดเริ่มของเสียงเรียกร้องจากฝ่ายการเมืองให้พล.อ.ประยุทธ์ ถือโอกาสนี้พิจารณาปรับครม.ครั้งใหญ่

เพื่อกำจัดจุดอ่อน กอบกู้ภาพลักษณ์รัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายของโรดแม็ป

เสียงเรียกร้องส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปยังรัฐมนตรี “ทีมเศรษฐกิจ” และรัฐมนตรี “ทีมทหาร” พี่เพื่อนน้องในกองทัพ ซึ่งหอบหิ้วถูลู่ถูกังกันมาตั้งแต่หลังทำรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557

เวลาผ่านไป 3 ปีครึ่ง ฝ่ายนักการเมืองมองว่า ถึงเวลาแล้วที่ทหารกลุ่มนี้ สมควรจะออกไปพักผ่อน

เพราะทหารก็คือทหาร ถูกออกแบบมาให้เป็นรั้วของชาติ ไม่ได้ถูกออกแบบให้มาเป็นผู้บริหารประเทศ

ซึ่งแนวทางการ “ลดโควตา” รัฐมนตรีทหารในรัฐบาลลงนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นคนแย้มไว้เอง และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นด้วย บอกว่ากำลังคิดอยู่

สำหรับรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ถือเป็น “จุดอ่อน “ของรัฐบาลคสช.มาแต่ไหนแต่ไร

ตั้งแต่ในยุค ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือหม่อมอุ๋ย เป็นหัวหน้าทีม กระทั่งถูกปรับโละทิ้งยกแผง ในยุค “ประยุทธ์ 3″ เปิดทางให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาทำหน้าที่แทน

แต่ก็ดูเหมือนประชาชนจำนวนมาก ไม่ค่อยพอใจผลงานการแก้ไขปัญหาปากท้อง ถือว่ายังสอบไม่ผ่าน

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะมีการเปลี่ยนตัว”ผู้เล่น”ในทีมเศรษฐกิจอีกครั้ง ให้เข้า ขากับ”กัปตันทีม” เพื่อเพิ่มเอกภาพ และประสิทธิภาพการขับเคลื่อนผลงานเศรษฐกิจ

ซึ่งจะมีผลกระทบชิ่งไปถึงงานด้านการเมือง อันเป็น”เดิมพัน”ก้อนใหญ่ หากใครบางคนต้องการให้ประชาชนสนับสนุน”อยู่ต่อ”ในอำนาจหลังการเลือกตั้ง

ที่คาดว่าจะมีขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า

ในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน

นัดแรกหลังการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล จุดเริ่มต้นกระแสจับตา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมปรับครม.ครั้งใหญ่

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมวันดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับรัฐมนตรี ถึงความจำเป็นต้องปรับครม. ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ว่า

ทำอย่างไรให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ตามโรดแม็ป ทั้งด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปฏิรูปประเทศ จึงขอให้เพื่อนพ้องน้องพี่ เข้าใจว่ามีความจำเป็น อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ

ขณะที่ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในช่วงท้ายการประชุม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับรัฐมนตรีว่า

หลายคนในที่นี้ได้ทำงานร่วมกันมากว่า 3 ปี ขอบคุณ ทุกคนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่มีใครทำผิดพลาด บกพร่องหรือทำผิด แต่มีความจำเป็นต้องปรับเพื่ออนาคต อย่าโกรธ และขอใช้อำนาจในฐานะนายกฯ ในการปรับเปลี่ยน

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ถูกตีความเป็นการ “บอกลา” รัฐมนตรีบางคน ที่จะไม่มีชื่ออยู่ในรัฐบาล “ประยุทธ์ 5”

ที่ว่าเป็นการบอกลา เนื่องจากหลังการประชุมครม. 7 พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ก็เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 25 ณ นครดานัง ประเทศเวียดนาม ต่อด้วยการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนเดินทางกลับถึงไทย เช้ามืดวันที่ 15 พฤศจิกายน จากนั้นก็ได้เก็บตัวอยู่แต่ในทำเนียบรัฐบาล

จัดทำโผปรับครม. ขั้นตอนสุดท้าย

ในทางการเมืองมีข้อควรระวังว่า การจัดทำโผปรับครม. ยิ่งใช้เวลาสรุปนานมากเท่าไหร่ แรงกระเพื่อมก็จะตามมามากเท่านั้น โดยเฉพาะจากคนที่มีชื่อคาดการณ์ว่าจะโดนปรับออก

รวมถึงกระแสข่าวโผรายชื่อที่ถูกปล่อยออกมารายวัน

จนไม่รู้ว่าโผไหนจริง โผไหน “มโน”ขึ้นมาเอง เพื่อหวังผลบางประการ

ยกตัวอย่าง ที่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก ไม่ได้มั่วนิ่ม เช่น นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสมาชิก สนช. ที่มีข่าวถูกทาบเป็น รมว.ศึกษาธิการ

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีต รมช.เกษตรฯ โควตาพรรคชาติไทย ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ครั้งนี้ จะมาเป็น รมว.เกษตรฯ แทน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่จะย้ายเก้าอี้ไปเป็น รมว.แรงงาน

นอกจากนี้ ยังมีชื่อ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ จาก รมต.สำนักนายกฯ เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จาก รมช.ขึ้นเป็น รมว.พาณิชย์ โดยมี น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร โยกจาก รมช.เกษตรฯ มาเป็น รมช.พาณิชย์

ส่วนที่หลุดออกไป อาทิ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน และ นางอรรถชกา สีบุญเรือง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นต้น

ส่วนโผจับแพะชนแกะ หรือ”มโน”กันไปเอง

หลักๆ ก็คือข่าวที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เตรียมปรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจากรมว.กลาโหม ให้เหลือเพียงรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว เพื่อลดแรงเสียดทานด้านภาพลักษณ์รัฐบาล

ซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “พี่ใหญ่คสช.” อยู่ระหว่างเก็บตัว เรียกความฟิตของร่างกาย ไม่ได้ออกมาให้ข่าวชี้แจงหรือตอบโต้ใดๆ ยิ่งทำให้มีคนจำนวนหนึ่งหลงเชื่อไปกับข่าวลือข่าวปล่อย

เช่นเดียวกับข่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เตรียมทิ้งเก้าอี้ผบ.ตร. เพื่อไปรับตำแหน่งรมว.การพัฒนาสังคมฯ แทน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่จะโยกไปเป็นรมว.แรงงาน แทน พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล

ซึ่งถูกตีราคาเป็นแค่ข่าวเสี้ยม หวังให้เกิดผลกระทบชิ่งจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไปยัง พล.อ.ประวิตร และจาก พล.อ.ประวิตร ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ในที่สุด

แม้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะปฏิเสธ ยืนยัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจประชุมร่วมกับเอฟบีไอ ที่สหรัฐอเมริกา จะยังอยู่เป็นผบ.ตร.ต่อไป แต่ก็ไม่สามารถดับข่าวลือได้สนิท

สุดท้ายยังต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาเคลียร์ข่าวด้วยตัวเองทั้งหมด

ยืนยันการปรับครม.ที่กำลังจะมีขึ้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

จะยังอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่ปรับเปลี่ยน

ส่วน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ก็ยังอยู่ แต่จะย้ายจาก รมว.เกษตรฯ ไปตำแหน่งอื่น โดยไม่บอกว่าตำแหน่งไหน

รวมถึงข่าวการมีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะลาออกมาร่วมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวปฏิเสธเสียงดังฟังชัด

“ไม่มี เขาทำงานดีอยู่แล้ว จะเอามาทำไม อยากถามว่ากระแสข่าวที่ออกมาเป็นของใคร ใครเป็นคนเลื่อยเก้าอี้ วันนี้สื่อจะฟังตำรวจหรือฟังผม ตำรวจเป็นคนปรับหรือสื่อเป็นคนปรับ วันนี้ผมบอกว่าไม่มี ก็จบแล้ว”

เหล่านี้คือทิศทางกระแสข่าวและเรื่องวุ่นๆ เกี่ยวกับ”ประยุทธ์ 5″

ที่โฉมหน้าออกมาอย่างไร จะ “หล่อเหลา” หรือ “ขี้ริ้วขี้เหร่”ขนาดไหน ย่อมส่งผลต่ออนาคตของคสช. และตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.

ในฐานะผู้รับผิดชอบต่อการปรับครม.แต่เพียงผู้เดียว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน