ใครมาอยู่ในจุดเดียวกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับแต่วันที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง
คงตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ความกังวล
ทุกข์เพราะว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เคยเป็นเสนาธิการในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผบ.ทบ.
ร่วมอยู่ในสถานการณ์ “รัฐประหาร”มาด้วยกัน
กังวลเพราะต้องขบคิด ใคร่ครวญว่าจะเอาใครมาดำรงตำแหน่งแทนในกระทรวงแรงงาน จึงจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่อไปได้โดยราบรื่น
ขนาด พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยังต้องทุกข์ยังต้องกังวลขนาดนี้แล้วนี่จะต้องปรับใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 ตำแหน่ง 10 คน
ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก
ระยะเวลาจากวันที่ 1 ทอดยาวมาจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน จึงสะท้อนถึงปัญหาและความหนักหนาสาหัส
ไม่สามารถทำอะไรตาม “อารมณ์”
เหตุผล 1 เพราะเป็นการปรับครมขนาดใหญ่ เหตุผล 1 เพราะมีความคาดหวังค่อนข้างสูง
คาดหวังว่าจะต้องออกมา ดี เด่น ดัง
ความคาดหวังนั้นเองที่ในที่สุดก็กลายเป็นปัจจัยกดดัน บีบบังคับ รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ที่รุนแรงที่สุดก็คือ ให้ลดโควตา “รัฐมนตรีทหาร”
ที่รุนแรงที่สุดก็คือ กดดันให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ต้องมีการปรับเปลี่ยน
เป็นแรงกดไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง
ไม่มีใครตอบได้ว่า แรงกดดันอันเกิดขึ้นนับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน มาจากที่ใด
แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างเป็น “รูปธรรม”
เหมือนกับจะมาจาก “ผลโพล” เหมือนกับจะโหมกระพือโดยกลุ่ม “นักการเมือง”
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีที่สุดกว่าใคร
ความนิ่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ จึงสำคัญ
เป็นการนิ่งเพื่อ”อ่านใจ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
/////////