นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ต่อคณะรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และต่อประชาชนคนไทย ทั่วทั้งประเทศ

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีนำรัฐมนตรีใหม่ 18 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน เข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา

ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี พระราชดำรัส ความว่า

ในโอกาสนี้อำนวยพรให้ทุกท่านมี กำลังใจ กำลังกายและกำลังปัญญา ที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ สรุปคือความมั่นคงของชาติ ความสุขและความปลอดภัยของประชาชน และ ชื่อเสียงตลอดจนวัฒนธรรมของประเทศชาติเรา ซึ่งมีประวัติและวัฒนธรรม อันยาวนาน มีสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 สถาบัน ได้คุ้มประเทศมาตลอด

การทำงานแน่นอนต้องเจอปัญหา ข้อขัดข้อง ปัญหาต่างๆ และเกิดข้อบกพร่อง ผิดพลาดตลอด อันนี้เป็นมาตามประวัติศาสตร์ แต่ถ้าใช้ปัญญาพร้อมด้วยกำลังใจและความมุ่งมั่นที่ดี ก็จะรู้จักแก้ไขข้อขัดข้อง ข้อบกพร่องและอุปสรรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะความสุขส่วนรวม ภาพรวม ตลอดจนความมั่นคงของประเทศชาติ ประชาชน เป็นสิ่งสำคัญของประเทศไทย

มีวิธีการทำงานมากมายหลายอย่าง แต่ความมุ่งมั่น การตั้งปณิธานที่จะรับใช้ประชาชน ประเทศ และสถาบันอันสูงสุดต่างๆ ของชาติ มีความสำคัญ ประชาชนเขาอยากมีความสุข อยากมีความมั่นใจ ปลอดภัย และเขาพร้อมจะเดินก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ควร คณะรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ขับเคลื่อน ดูแลปกป้องคุ้มครองประเทศชาติแผ่นดินของเรา

ขอให้คำนึงถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ท่านรับสั่งไว้มากมาย ทรงปฏิบัติไว้มากมาย ถ้าศึกษาพระราชกรณียกิจ พระราชปณิธานของพระองค์ท่าน คงเป็นสิ่งที่เป็นแนวทางที่ดีแก่ประเทศชาติที่จะสืบสานต่อจากพระราชปณิธานของพระองค์ และแน่ใจว่าประชาชนเขาก็ต้องการแบบนั้น

ก็ขอให้โชคดีทุกคน

ทบทวนรายชื่อกันอีกที รัฐมนตรีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ 18 คน ได้แก่

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ, นาย สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ, พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ, นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ, นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรฯ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรฯ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์, น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.ยุติธรรม อีกตำแหน่งหนึ่ง

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, นายอุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ และนายสมชาย หาญหิรัญ รมว.อุตสาหกรรม

ในจำนวนนี้เป็นหน้าใหม่ 10 คน หน้าเก่าแต่เก้าอี้ใหม่ 8 คน นอกจากนายกฤษฎา บุญราช อดีตปลัด มหาดไทย ที่ถูกวิจารณ์เรื่อง “ผิดฝาผิดตัว” กับนาย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ซึ่งถูกมองเป็น “ตัวเชื่อม” พรรคการเมือง

ภาพรวมที่เหลือก็เป็นแบบกลางๆ ไม่เลวร้าย แต่ก็ ไม่ดีเลิศ สังคมพร้อมให้โอกาสพิสูจน์ฝีมือ

โดยเฉพาะรัฐมนตรีเศรษฐกิจภายใต้การคุมทีม ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ครั้งนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีเอกภาพ และให้การขับเคลื่อนงาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตามที่เข้าใจตรงกัน โดยยึดถือคำประกาศของนายกฯ เอง หากไม่มีเหตุด่วนเหตุร้ายแทรกซ้อน การเลือกตั้งทั่วไปน่าจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.2561 หรือก 1 ปีจากนี้ ตามโรดแม็ปที่วางไว้

ผลพวงครม.บิ๊กตู่ 5 จากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจปรับออกอดีตรัฐมนตรีหลุดวงโคจรไปถึง 9 คน

ในจำนวนนี้เป็นบิ๊กทหาร 3 คน คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร กับพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ถูกปรับพ้นรองนายกฯ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ถูกปรับพ้นรมช.กลาโหม

ไม่รวมพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่พ้นรมว.เกษตรฯ ไป “ขึ้นหิ้ง” รองนายกฯ

ถ้าวัดจากตรงนี้นับว่าเกิดแรงกระเพื่อมน้อยกว่าที่คาด

ขณะที่ในทางการเมืองเส้นทาง “ต่อยอด” อำนาจ เริ่มสดใสกาววาว ภายหลังที่ประชุมสนช. วันที่ 30 พ.ย. ลงมติรับหลักการวาระแรก ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. กับร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ตามที่กรธ.เสนอมา พร้อมตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาวาระสองให้เสร็จภายใน 58 วัน

หมายความว่าการพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ ต้องเสร็จภายในปลายเดือนม.ค.2561 จากนั้นใช้เวลาอีก 30 วันส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.และกรธ.พิจารณา ตรงกับช่วงปลายก.พ.2561

จากนั้นเข้าสู่กระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศใช้เมื่อไหร่ ก็จะเป็นวัน”นับหนึ่ง”การเลือกตั้ง

ตามมาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ดำเนินการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หลังกฎหมายลูกมีผลใช้บังคับ

ส่วนปัญหาว่าคำว่าภายใน 150 วันนั้น ต้องครอบคลุมการประกาศผลเลือกตั้งด้วยถึงจะถือว่า “แล้วเสร็จ” หรือหมายถึงเฉพาะการกำหนดวันเลือกตั้งเท่านั้น

ยังต้องถกเถียงตีความกันต่อไป

ทั้งนี้ การบอกว่าเส้นทางต่อยอดอำนาจ คสช. เริ่มสดใส

เนื่องจากพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. ซึ่งเป็น 2 ฉบับสุดท้าย คาดว่าจะผ่านสนช. 3 วาระ แบบที่ไม่มีการแก้ไขหลักการสำคัญ

คือ การสกัดจุดพรรคการเมือง ทำให้อ่อนแอ ด้วยการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเลือกส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อ แล้วนำคะแนนมาคิดคำนวณด้วยวิธีการอันสลับซับซ้อน

สรุปก็คือด้วยสูตรนี้ จะไม่มีพรรคใดได้เสียงส.ส.มากเกินครึ่งสภา ผลก็คือเป็นการ “ปิดประตู” นายกฯ คนในจากส.ส.

ขณะเดียวกันก็เป็นการ “เปิดประตู” ให้ 250 ส.ว.ลากตั้ง ร่วมโหวตผลักดัน “คนนอก” ขึ้นเป็นนายกฯ แทน

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่ามองมุมไหน จะเห็นว่ารัฐบาลคสช.กุมความได้เปรียบไว้ทุกประตู

โดยเฉพาะการยังไม่ยอม “ปลดล็อก” ทั้งที่กฎหมายพรรคการเมือง ประกาศมีผลใช้บังคับมานานเกือบ 2 เดือน ขณะที่ ฝ่ายคสช.ซึ่งวันนี้สังคมรับรู้ทั่วกันว่า จะลงการเมืองแน่นอน

กลับเคลื่อนไหวหาเสียงอย่างอิสระ ออกนโยบายเศรษฐกิจช่วยเหลือชาวฐานราก เดินสายจัดประชุมครม.สัญจร พบปะประชาชนทั่วประเทศ ทุกอย่างเข้าทางคสช.ไปทั้งหมด

ก่อนจะมา “สะดุด” กับฉากพล.อ.ประยุทธ์ ตวาดเสียงดังใส่ชาวประมงปัตตานี

กับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายม็อบต้านโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา จับกุม 16 แกนนำดำเนินคดี เรื่องบานปลาย จน “ยูเอ็น” ต้องยื่นมือเข้ามาเกี่ยว ส่งผลให้รัฐบาลคสช.เสียคะแนนไปพอควร

ก็เลยต้องรีบแก้เกมชิงเปิดผล 4 คำถาม ล็อกเสียงเชียร์พล.อ.ประยุทธ์ ให้อยู่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง นั่งเป็นนายกฯ ต่อไปอีกนานๆ

อีกทางตำรวจ-ทหารก็นำกำลังบุกทลายแหล่งซุกซ่อนอาวุธสงคราม อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา

โยงเข้าหาเครือข่ายนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ เสื้อแดงฮาร์ดคอร์ สร้างเงื่อนไข “ยื้อ” ปลดล็อก พร้อมกับเสียงวิจารณ์อื้ออึง ว่าสอดรับกับจังหวะที่คสช.เพลี่ยงพล้ำพอดี

ทั้งหลายทั้งปวงจะช่วยให้คะแนนดีขึ้น หรือทรุดหนักกว่าเดิม ประชาชนจะเป็นคนตัดสินอีกไม่เกิน 1 ปีข้างหน้า

ยกเว้นว่า จะไม่มีเลือกตั้ง อย่างที่เริ่มมีเสียงร่ำลือกันอีกแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน