คล้ายกับการร้องทุกข์กล่าวโทษจากกรณีตรวจจับอาวุธสงครามพร้อมวัตถุระเบิด กลางทุ่งนา ฉะเชิงเทรา
จะปรากฏ”จำเลย”ใหม่
นอกเหนือจาก นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” อันถือว่าเป็น “เจ้าเก่า”
นั่นก็คือ นายมนัส เปาริก
นั่นก็คือ นายจักรภพ เพ็ญแข
แต่พลันที่มีการโยงไปยังสถานการณ์ความไม่สงบในห้วงของปี 2557 โดยผ่านหมายเลขประจำเครื่อง ภาพก่อนและหลังรัฐประหารก็หวนมาอีกหน
3 ปีเศษมาแล้วยังไปไม่ถึงไหน
ทั้งๆที่การตรวจจับอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดกลางทุ่ง ฉะเชิงเทรา มีพยานหลักฐานเด่นชัด
ยิ่งเมื่อผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งเข้ามามอบตัว ยิ่งชัด
แต่หากฟังจาก “น้ำเสียง” ในทางสังคม ไม่ว่าจะมาจากพรรค ประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา ล้วนมากด้วยข้อสงสัย
เหมือนกับเห็นว่าเป็นสถานการณ์ที่สร้างขึ้น
ตรงนี้เองที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผบ.ทบ.ต้องออกมาสำทัย ตรงนี้เองที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ต้องออกมาสำทับซ้ำ
เพราะลำพัง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ทบ.ด้านความมั่นคง น่าจะไม่เพียงพอ
ความน่าสงสัยอยู่ตรงไหน
ความจริงการที่ตำรวจสามารถตรวจค้นและจับอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดได้ ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว
ไม่มีใครสงสัย แคลงใจ
หากแต่ที่ทำให้หลายภาคส่วนเกิดความรู้สึกแปลก แปร่งตามมาบ้างก็อยู่ที่กระบวนการขยายผล
โดยเฉพาะขยายผลไปยังกรณีปลดหรือไม่ปลดล็อก
เพราะนี่ย่อมมิได้เป็นความผิดของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนี่ย่อมมิได้เป็นความผิดของพรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย
ทำไมจึงต้องถูก”ลงโทษ”ในทางการเมือง